Spotlight ข่าวสืบสวนยุคสุดท้าย

Spotlight ข่าวสืบสวนยุคสุดท้าย

...ธเนศน์ นุ่นมัน

สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชน หรือสนใจเรื่องการสืบหาข่าวเป็นพิเศษแล้ว Spotlight ย่อมกลายเป็นอุดมคติ เป็นแบบอย่างของการทำข่าวสืบสวนสอบที่ทำให้เห็นการทำงานด้านนี้ในอีกหลากแง่มุม หลายมิติ

ประเด็นสำคัญของหนังเรื่องนี้  เริ่มต้น จาก มาร์ตี้ บารอน (รับบทโดย เลียฟ ชไรเบอร์) บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไมอามี่ เฮอรัลด์ ที่ย้ายมารับตำแหน่งเป็น บรรณาธิการคนใหม่ของ หนังสือพิมพ์ บอสตัน โกล้บ ด้วยความกระสากลิ่นสิ่งผิดปกติ เมื่อได้เห็นข่าว ๆ หนึ่ง เขาจึงกำชับให้ทีมข่าวที่รับผิดชอบ คอลัมน์สปอตไลท์ คอยตามข่าวเล็กๆ จากคดีที่ บาทหลวงท้องถิ่นรูปหนึ่ง ถูกกล่าวหา ว่า ล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนที่ทำงานประจำโบสถ์

เมื่อทีมงานซึ่งประกอบด้วย วอลเตอร์ “ร็อบบี้” โรบินสัน (ไมเคิล คีตัน) หัวหน้าโต๊ะ,ซาช่า ไฟเฟอร์ (เรเชล แม็คอดัมส์) กับ ไมเคิล เรเซนเดส (มาร์ค รัฟฟาโล) สองนักข่าวที่คอยลงพื้นที่เพื่อพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ และตระเวนไปตามหน่วยงานที่รับผิด และ แม็ตต์ คาร์โรลล์ (ไบรอัน ดาร์ซี่ เจมส์) ฝ่ายข้อมูล ทั้งหมดแบ่งงานกันทำเป็นทีม

หลังจากที่พูดคุยกับทนายความของเหยื่อ สัมภาษณ์เหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศหลายราย ซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้อ่านบันทึกการไต่สวนที่ถูกปิดผนึกมาช้านาน ทีมสปอตไลท์ ก็ได้พบสิ่งที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรหมเพื่อปกปิดเรื่องฉาวของสำนักบาทหลวงคาทอลิกบอสตัน เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากการสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ

แม้เรื่องที่รวบรวมมาได้ จะถูกนำมาปั้นเป็นข่าวดังได้ไม่ยาก แต่ บก.คนใหม่ของ บอสตัน โกล้บ ก็ยังใจเย็นรอจนข้อมูลครบถ้วนและละเอียดพอที่จะนำมาตีพิมพ์ได้เป็นชุดใหญ่

ต่อมาก็ได้ตัดสินใจตีพิมพ์บทความเรื่องที่ได้มา ในเดือนมกราคมปี2545 แน่นอน มันได้กลายเป็นข่าวใหญ่สั่นสะเทือน คริสตจักรอย่างลุกลามไปทั่วโลก นำไปสู่การเปิดโปงกรณีล่วงละเมิดทางเพศของบาทหลวงอีกกว่า 200 เมืองทั่วโลก

มิติสำคัญที่หนังเรื่องนี้ มอบให้กับคนดูก็คือ เรื่องกระบวนการทำงานข่าว ที่แสดงให้เห็นว่า กว่าจะได้ข่าวชิ้นเยี่ยมมานั้น

ตั้งแต่ระดับนโยบายของการทำงาน แผนการออกไปล่าข้อมูล เพราะเมื่อต้องออกไปสนามจริงนั้น ต้องลำบากยากเย็นในการหาข้อมูล การออกไปพูดคุยกับเหยื่อที่ประสบเหตุมานั้น นักข่าวจะต้องมีจิตวิทยาในการพูดคุยอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างเกิดระยะห่าง หรือกลายเป็นผู้ไปซ้ำเติมเหยื่อ ในเวลาเดียวกันพวกเขาต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมจากห้องสมุดอย่างละเอียด ต้องตามไปค้นเอกสารทางราชการ หรือกระทั่งคำตัดสินของศาล และที่สำคัญคือต้องกลั่นกรองสิ่งที่ได้จากแหล่งข่าว จนกว่าจะได้ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ผลพวงจากสิ่งพวกเขาขุดคุ้ยมาได้นอกเหนือจาก รางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prizes) ที่มอบมอบให้ผู้ได้รับเกียรติสูงสุดระดับชาติในวงการสิ่งพิมพ์ คือ

ปี 2545 ทีมข่าวสปอตไลท์ ตีพิมพ์ข่าวเกือบ 600 ชิ้น เผยให้รู้เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศที่กระทำโดยบาทหลวงกว่า 70 รูป ที่ถูกปกปิดมาอย่างต่อเนื่องโดยสำนักบาทหลวงคาทอลิก

ธันวาคม ปีเดียวกัน พระคาร์ดินัล เบอร์นาร์ด ลอว์ ลาออกจากการเป็นเจ้าคณะบาทหลวงของบอสตัน และย้ายไปประจำที่โบสถ์บาซิลิก้า ดิ ซานตามาเรีย มัจจอเร่ ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี

 

บาทหลวงจำนวน 249 รูปในสังกัดของเจ้าคณะบาทหลวงบอสตัน ถูกกล่าวหาว่าได้ทำการล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์

ปี 2551 เด็กจำนวน 1,476 คนถูกช่วยเหลือจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยบาทหลวงในบอสตัน

บาทหลวงทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวน 6,427 รูป ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศเหยื่อเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 17,259 ราย

ปฏิกิริยาลูกโซ่จากการเปิดโปงการล่วงละเมิดทางเพศเยาวชนโดยบาทหลวง ถูกขยายผลไปจนพบเรื่องนี้ ใน 105 เมืองทั่วอเมริกา และในเขตปกครองสงฆ์จำนวน102 เขตทั่วโลก  สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงและกลายเป็นรอยด่างของคริสตจักรอย่างลบไม่ออก

หนังเรื่องนี้ พาเรากลับไปสัมผัสการทำข่าวแบบดั้งเดิมในอุดมคติอย่างที่กล่าวไปแล้ว และเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีให้เห็นแล้วในยุคปัจจุบันที่คนทั่วไปสนใจแต่เสพข่าวที่เอาไวเข้าว่า ข่าวฉาวของคนดัง ข่าวคาวของดารา และข่าวสั้นชนิดที่กวาดตาผ่านเสพได้ในไม่กี่วินาทีทางอินเตอร์เน็ต โครงสร้างของข่าวยุคใหม่ที่ ที่พาดหัวดึงดูดความสนใจ ล่ายอดคลิกเข้าไปดูเพื่อนำมาเป็นอำนาจต่อรองทางการตลาด

แน่นอนที่สุดการทำงานข่าวแบบที่เห็นในหนังเรื่องนี้ กลายเป็นไอดอลการทำงาน เป็นหลักประกันเบื้องต้นว่า คือวิธีที่จะทำให้ได้ข่าวชิ้นเยี่ยมมาอยู่ในเมือ ได้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่เราเห็นในหนัง ก็กำลังจะกลายเป็นเรื่องปรัมปรา หนังสือพิมพ์ของอเมริกาหลายหัวที่เคยทำงานแบบที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ ได้ปิดตัวลงไปจำนวนมาก นักข่าวมือฉมังหลายคน กลายเป็นคนตกงาน

การทำข่าวสืบสวนลักษณะนี้ กำลัง หายไปจากสำนักข่าวทั่วโลก นี่จึงอาจจะเป็นยุคสุดท้าย ของการทำข่าวสืบสวนสอบสวนก็เป็นได้