ฟื้นความสัมพันธ์ 30ปี ไทย-ซาอุ จาก “รอยร้าว”ก้าวสู่ “มิตรภาพ” ผลักดันเศรษฐกิจ

หนึ่งในทรัพย์สินที่ถูกขโมยมีเพชร “บลูไดมอนด์”อยู่ด้วย จัดเป็นเพชรขนาดใหญ่ เรียกว่าน้ำงามสุดที่จนกลายเป็นกระแสข่าวลือที่ไม่ดีในช่วงนั้น ต่อมาซาอุฯได้ส่งนักการทูตมาสอบถามคดีเพชรซาอุซึ่งไม่มีความคืบหน้า และทางการไทยยังมีการส่งเพชรปลอมกลับไป จากนั้นนักการฑูตคนแรกถูกฆาตกรรม แต่กลับมีการปล่อยข่าวว่าเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ก่อนจะมีการส่งนักการทูตมาอีก ก็ถูกอุ้มฆ่าอีกทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่สร้างความเจ็บแค้นต่อซาอุดิอาระเบียอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งกรณีฆาตกรรมนักการทูต กรณีเพชรซาอุฯ และกรณีการอุ้มฆ่าอัลรูไวลี่ ส่งผลตกย้ำความสัมพันธ์ให้ยิ่งย่ำแย่ลง

กรณีคดีการอุ้มฆ่าอัลรูไวลี่ ถือเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ไทยโดยตรง เพราะเราเชื่อมโยงว่าการตายของนักการทูตซาอุดิอาระเบียเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องการจัดส่งแรงงานไทยไปซาอุดิอาระเบีย จนนำไปสู่การอุ้มอัลรูไวลี่ ไปกักขังไว้และบีบบังคับให้สารภาพผิด แต่ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเสียชีวิตของนักธุรกิจซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นปริศนา โดยเฉพาะอัลรูไวลี่ ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์อัล-สะอุดแห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย หรือเป็นเชื้อพระวงศ์บุคคลสำคัญของประเทศ จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่

ทั้ง3กรณีที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันเหมือนเป็นการท้าทาย คดีไม่มีความคืบหน้า และมีการอุ้มฆ่ารายอื่นรวมถึงมีการปลอมแปลง เพื่อถ่วงคดีให้ล่าช้าหมายจะให้หมดอายุความ ผลสุดท้ายทางซาอุฯ มองว่าไทยไม่มีความจริงใจจึงค่อยๆลดความสัมพันธ์ลง จนเรียกว่าได้ว่าตัดทอนความสัมพันธ์เลย ไม่มีการติดต่อใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อหมายจะบีบให้มีการนำตัวคนที่เป็นตัวการจริงๆมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่หาแพะ ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ที่บั่นทอน ฝั่งไทยเองเป็นผู้กระทำ โดยคนที่อยู่ในเครื่องแบบของไทยมีอำนาจและมองคนทั่วโลกว่าโง่ สร้างหลักฐานเท็จ หรือไม่ก็ทำลายหลักฐานต่างๆ สะท้อนความไม่จริงใจที่จะรื้อฟื้นคดี

ฉะนั้น การกลับมาสร้างความสัมพันธ์ครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการก้าวข้ามอดีต เพราะหากไม่ก้าวข้ามอดีตเราก็จะไม่มีความคืบหน้าของคดีมากไปกว่านี้ ส่วนเหตุผลหลักๆที่นำมาสู่การสร้างความสัมพันธ์มีปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการด้วยกัน โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเจราในหลายระดับมาหลายปี ทางซาอุฯ ก็มีเหตุผลหลายประการอย่างการเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญ ที่จะหันมาจับมือกับนานาประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะไทย พูดง่ายๆคือ การจับมือครั้งนี้ถือเป็นเรื่องของวินๆได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเสีย ไม่มีใครชนะ แต่ทั้งหมดนี้คือการก้าวข้าม3คดีสำคัญนี้ให้ได้ มิเช่นนั้นความสัมพันธ์จะไม่มีความคืบหน้าเลย

ประกอบกับความเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญในซาอุดิอาระเบีย คือการปรับคณะรัฐมนตรี และการจัดลำดับการสืบสันติวงศ์ใหม่ของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในครั้งนั้นคือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไปสู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่รัฐบาลของซาอุดิอาระเบียมักจะมีแต่ผู้อาวุโสระดับสูงส่งผลให้วิสัยทัศน์ในการมองอนาคตของประเทศเปลี่ยนไป ผู้นำรุ่นใหม่เหล่านี้อาจไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับกรณีต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย แต่พวกเขาตระหนักถึงผลประโยชน์ที่ซาอุดิอาระเบียจะได้รับหากฟื้นความสัมพันธ์กับไทยมากกว่า

บุญรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบียในช่วงที่ผ่านมา หลังราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งซาอุดิอาระเบียผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ต้องออกมาประกาศขาดดุลงบประมาณมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้รัฐบาลต้องคิดโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็จะเปิดช่วงทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจที่หลากหลายมากขึ้น การเปิดประเทศ เพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ แต่ครั้นจะหันไปพึ่งกลุ่มประเทศตะวันออกกลางด้วยกันก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะก็ล้วนมีปัญหาของตนเอง จึงต้องสร้างพันธมิตรใหม่ และผูกมิตรกับประเทศต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่หวังพึ่งสหรัฐฯประเทศเดียวเหมือนในอดีต ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ซาอุดิอาระเบียมองว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ

จริงๆแล้วประเทศเอเชีย เป็นเหมือนบ่อทองที่ซาอุฯเล็ง และไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เคยมีความสัมพันธ์แนบแน่น ก่อนที่จะเกิด3คดีใหญ่ เพราะฉะนั้นไทยเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ซาอุต้องการก้าวข้ามอดีต และหันมาฟื้นความสัมพันธ์เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจของสองประเทศ เพราะในอนาคตซาอุฯ ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจทุกๆด้าน ทั้งการลงทุน แรงงาน การท่องเที่ยวของซาอุ ที่เขาต้องการพัฒนาเปิดซาอุให้กว้างขึ้น เขาต้องการแรงงาน ซึ่งแรงงานไทยเป็นแรงงานที่เขายกย่องว่าดีที่สุด ทั้งความสุภาพและมีน้ำจิตน้ำใจ ไม่โต้เถียงและไม่ก่อปัญหาอาชญากรรม

นอกจากนี้ไทยยังเป็นฮับเรื่องการแพทย์ ที่ชาวตะวันออกกลางเข้ามาใช้บริการมากที่สุด ฉะนั้นบอกได้เลยต่อไปนี้เรื่องการแพทย์ การท่องเที่ยว การลงทุนและการค้าของทั้งสองประเทศต่อไปก็จะยิ่งรุ่งโรจน์ไปอีก ได้ทุกคนทั้งสองฝ่าย ในส่วนเรื่องการเมือง ซาอุฯมองว่าไทยเป็นประเทศที่เรียกว่าคอนข้างมีความมั่นคงทางการเมือง ถึงบางส่วนจะมองว่าการเมืองไทยระส่ำระสายก็ตาม แต่ภาพโดยรวมเรามั่นคงอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่ดี แรงงานมีฝีมือนโยบายใหม่ของทางการซาอุฯ จึงพร้อมที่จะหันมากระชับไมตรีเหมือนในอดีต ฉะนั้นนี่จึงเป็นก้าวสำคัญเพราะที่ผ่านมาทำงานด้านสื่อต่างประเทศมาหลายสิบปี ก็รอมานานมากไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง จริงอยู่ในอดีต ทิศทางนโยบายส่วนใหญ่จะเดินตามประเทศมหาอำนาจมากเกินไป แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยน เพราะฉะนั้นนโยบายต่างประเทศ เราต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ ฉะนั้นความสัมพันธ์ของประเทศที่เคยเป็นศัตรูในวันนั้น วันนี้เราอาจกลับมาเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกัน เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนในทุกๆด้าน

อดีตบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ยังได้ฝากทิ้งท้ายถึงน้องๆ ผู้สื่อข่าวสายต่างประเทศ ให้จงมีสติในการทำข่าวและรู้ข้อมูลของแต่ละประเทศให้ลึกซึ้ง ทั้งมิติในอดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่แค่การแปลข่าวเพียงอย่างเดียว เพราะทุกวันนี้การนำเสนอข่าวต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ ฉะนั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านและรอบคอบ จะทำให้มีสติในการแปลข่าว สามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงเบื้องหน้า-เบื้องหลังได้อย่างมีเหตุมีผลมากขึ้น

“รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.โดย ความร่วมมือของ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5