ตร.ไซเบอร์ แฉกล มิจฉาชีพออนไลน์ สถิติ 1 ปี กว่า 2 แสนเคส สูญกว่า 3 หมื่นลบ. เตือนคนวัย 40 ปี เป็นเหยื่อสูง จิตแพทย์ ชี้ ถูกหลอกให้รัก ทั้งเปย์-ทั้งโป๊ แนะคนรอบข้างเยียวยาใจ ไม่ซ้ำเติม
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมเอเชีย เขตราชเทวี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดโครงอบรมเชิงปฏิบัติการ "นักข่าวพิราบน้อย รุ่นที่ 25" ระหว่างวันที่ 9-11 กุมภาพันธ์ เปิดเวทีเสวนา เรื่อง การหลอกลวงในโลกออนไลน์ ปัญหาโลกแตกกระทบสุขภาพจิต โดย พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และ พ.ต.ท.ธนธัส กังรวมบุตร สารวัตรกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.)
พญ.อัมพร กล่าวว่า สำหรับเรื่องการถูกหลอกในโลกออนไลน์ เกิดขึ้นได้ทุกวัยไม่ใช่เฉพาะวัยรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่มักจะถูกหลอกด้วยการถูกเล่นกับความรู้สึก เช่น การทำให้รู้สึกว่าเหยื่อเป็นคนสำคัญ สร้างความรัก ทำให้เชื่อใจ จากนั้นก็จะสร้างความไว้ใจทำให้เหยื่อต้องโอน หรือต้องโชว์ร่างกายเพื่อให้เกิดความเชื่อใจ อย่างไรก็ตาม การจัดการกับความรู้สึกรัก จะต้องให้เวลาตัวเองให้มาก หากว่ารักเขามากในขณะที่เราจัดการตัวเองได้ไม่ดี เราก็อย่าทำอะไรที่มากกว่านี้ เพราะ คนร้ายมักจะหลอกให้รัก ทำให้เราชาชินกับเรื่องที่เราไม่อยากทำ เช่น รักแล้วต้องเปย์ รักแล้วต้องโป๊ แล้วก็จะนำมาสู่สิ่งที่เขาตั้งเป้าหมายไว้ ดังนั้น เราอย่าปล่อยให้สูญเสียความเป็นตัวเอง นึกไว้เสมอว่า ความรักเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งที่ไม่จริงเสมอไป ทั้งนี้ คำถามว่า ทำไมเขาถึงไม่แจ้งผู้ปกครอง หรือแจ้งคนรอบข้าง นั่นเพราะว่าเหยื่อจะรู้สึกเสียหน้า รู้สึกว่าไม่อยากถูกตอกย้ำ
ดังนั้น กรมสุขภาพจิต เราอาจไม่ได้เข้าไปดูเรื่องกฎหมายในการจัดการคนร้าย แต่เราจะดูแลปัญหาอารมณ์ทุกประเภท เช่น การแทรกซึมในทุกองค์ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาทางสุขภาพจิตเข้าไปในทุกองค์กรและทุกหน่วยงาน สำหรับวัยเรียน เราก็ได้ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อให้สถานศึกษาทุกแห่งควรจะมีกลุ่มงานที่ดูแลสุขภาพจิตให้นักศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏต่าง ๆ และล่าสุดคือ อาชีวศึกษา เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างราบรื่นเป็นระบบ โดยสิ่งสำคัญที่ทำคู่กันไป คือ น้อง ๆ จะต้องมีระบบดูแลกันเอง มีผู้ช่วยเหลือที่เสมือนนักบำบัด มีบัดดี้ ดูแลกันเอง หรือมีคนคอยจับสัญญาณในไลน์กลุ่ม ในโลกออนไลน์ เช่น การส่งแชท การโพสต์ต่าง ๆ ที่เป็นสัญญาณเตือนภัย แต่ทั้งหมดนี้จะอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรม เพื่อไม่ให้เราเผลอไปทำร้ายเขาซะเอง
พญ.อัมพร กล่าวว่า สำหรับสายด่วนสุขภาพจิต โทร 1323 ที่มีนักจิตวิทยา คอยให้คำแนะนำเพื่อให้คนที่กำลังทุกข์ได้ปรึกษา หรืออาจแนะนำให้ไปพบกับจิตแพทย์ ซึ่งกรมสุขภาพจิต เราไม่ได้ดูแลเฉพาะคนวิกลจริต อย่างที่เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาด เช่นบ้านหลังคาแดงอย่างที่ทุกคนรู้จัก แต่ตอนนี้ไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว เพราะเรามีทีมดูแลทั้งจิตแพทย์ ทั้งนักจิตวิทยา ให้คำแนะนำผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพจิตในทุกมิติ
“สำหรับสิ่งที่จะช่วยเยียวยาปัญหาจิตใจของเหยื่อที่เคยถูกหลอกโลกออนไลน์ให้สูญเสียเงิน เราจะต้องไม่ไปตอกย้ำเขา ไม่ไปบอกว่าเราเตือนแล้วนะ หรือไปบอกว่าไม่น่าไปหลงเชื่อคนแบบนี้เลย เราจะต้องให้กำลังใจว่าคนเรานั้นเสียทรัพย์สิน เสียเกียรติยศ เสียหน้า แต่เรายังมีชีวิตอยู่ แล้วกลับมาตั้งหลักใหม่ ไม่ให้เราหกล้มในท่านั้นอีกครั้ง" อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
พญ.อัมพร กล่าวต่อว่า สำหรับความสูญเสียที่รุนแรง กรมสุขภาพจิตเราพยายามทำเชิงรุก เช่น ทีม MCATT จะเป็นทีมที่รุกเข้าพื้นที่เกิดหตุทันที เช่นเดียวกันถ้ามีภัยไซเบอร์ที่รุนแรง เราก็จะกระโดดเข้าไปด้วย แต่ถ้าเรื่องไหนที่ยังมีเวลาเราก็จะทำงานเชิงรับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งต่อผู้ที่มีภาวะนั้นมา ให้ได้รับความช่วยเหลือ
ด้าน พ.ต.ท.ธนธัส กล่าวถึงปัญหาการถูกหลอกผ่านออนไลน์ ว่า ขณะนี้ปัญหาการถูกหลอกให้เสียทรัพย์ทางโลกออนไลน์เกิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกเวลา จากที่ สอท. ได้เปิดเว็บไซต์ www.thaipolice.net เพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนเรื่องการถูกหลอกทางออนไลน์ ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 จนถึงช่วงเดือน มกราคม 2566 มีการส่งเรื่องเข้ามาถึง 200,000 แสน มูลค่าความสูญเสียกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งในนั้นก็จะมีเด็กและเยาวชนรวมอยู่ด้วย โดยการถูกหลอกส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการหลอกจ้างทำงาน อย่างที่พบบ่อย ๆ เช่น หลอกให้โอนเงินไปมัดจำทำงาน แล้วจะโอนค่าแรงกลับมาให้ จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการหลอก แล้วเมื่อโอนไปแล้วก็บล็อกหายไป
"ในหลายครั้งที่มีผู้เสียหายมาคุยกับตำรวจแล้วก็บอกว่า ช่วยจับคนร้ายให้ได้เพราะเขาก็เสียเงินไปเยอะ เพราะ ถ้าไม่ได้เงินคืน เขาคงหมดปัญญาต้องไปฆ่าตัวตาย และหลาย ๆ ครั้งเราก็เห็นเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งนั่นเราจะต้องประสานไปยังกรมสุขภาพจิตเพื่อเข้ามาช่วยดูแลปัญหาด้านนี้ เพราะทางภาครัฐเองยังไม่มีมาตรการเยียวยาเหยื่อที่เป็นรูปธรรม" พ.ต.ท.ธนธัส กล่าว
พ.ต.ท.ธนธัส กล่าวต่อว่า สำหรับแอพพลิเคชั่นหาคู่นั่น สร้างความปวดหัวให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก เนื่องจากการลงทะเบียนแอพพ์ ร้อยละ 90 ไม่มีการยืนยันตัวตน จะมีเพียงอีเมล์ เบอร์โทรศัพท์ และ ไอพีแอดเดรสของเครื่องมือสื่อสารที่ใช้แอพพ์ ดังนั้น เราไม่สามารถยืนยันตัวตนได้เลย กระบวนการของการหลอก จะมีการขโมยรูปภาพมาสร้างตัวตน สร้างบัญชี จากนั้นคนร้ายจะศึกษาข้อมูลเหยื่อจากสื่อที่ใช้แล้วเปิดเป็นสาธารณะ จากนั้น ก็จะทักเข้ามาเพื่อชวนคุย คลายความเหงา คุยให้รู้สึกว่าตรงใจกับเหยื่อ แต่นั่นไม่ใช่พระเจ้าส่งมา เพียงแต่เป็นการศึกษาคนๆ หนึ่งมาก่อน เป็นการสร้างสตอรี่ สร้างเรื่องสมมติขึ้นมา
“กลุ่มเป้าหมายของคนร้ายในแอพพ์หาคู่ คือ เหยื่อช่วงวัย 40 ปีขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่คู่ครองทำงานหนัก ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมานาน คนร้ายพวกนี้จะคืบคลานเข้ามา จนเข้ามายึดครองพื้นที่ในใจคนเหยื่อ ทำให้สูญเสียตัวตนของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เริ่มผูกพันมากขึ้น จากนั้นจะเริ่มหลอกให้โอนเงินไป และเมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่กล้าปรึกษาใคร เพราะความสัมพันธ์เริ่มต้นด้วยความผิดพลาด ทำให้ไม่กล้าปรึกษาใคร ดังนั้น ครอบครัวต้องเข้าใจ เปิดใจคุยกัน เพราะถ้าไม่คุยกันก็จะนำมาสู่การไม่ยอมแจ้งความเพราะกลัวเสียชื่อเสียง เสียหาย แต่ต้องย้ำว่า การแจ้งความของท่านมีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้เรามีข้อมูลในระบบที่มากขึ้น เสมือนเหมือนจิ๊กซอว์ ทำให้ตำรวจรู้ถึงตัวคนร้าย นำมาสู่กระบวนการจับกุมมาลงโทษ ซึ่งอาจทำให้เราได้รับเงินคืนบ้าง” พ.ต.ท.ธนธัส กล่าว