ประสบการณ์นักข่าวผู้ใกล้ชิด “นายกฯลุงตู่” ตั้งแต่เริ่มจนถึงวันที่ลงจากหลังเสือ

            “เนื้อแท้พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนตลก ตาไว เห็นอะไรก็จะหยิบขึ้นมาแซวได้หมดบางทีผู้สื่อข่าวนั่งกินข้าวอยู่ หรือกำลังนั่งสัมภาษณ์ สายตาพล.อ.ประยุทธ์ สแกนทุกคน บางทีก็จะมีคำแซวออกมาว่า เธออย่างนั้นเธออย่างนี้และไม่มีความซับซ้อน ที่จะต้องมานั่งตีความจากอวัจนภาษา”

            “ปรัญชา นงนุช ผู้สื่อข่าว (การเมือง) SPACEBAR” พูดคุยใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ถึง “ความทรงจำที่มีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่” ในฐานะ “ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลและผู้สื่อข่าวสายทหาร” ที่ตามติดความเคลื่อนไหว “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เกือบ 10 ปี ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และระหว่างการทำหน้าที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า 

            ที่เห็นได้ชัดเลย คือ แววตาเปลี่ยนไป คนเราจะเก็บอาการได้ทุกอย่างแต่แววตาจะออก ซึ่งแววตาของพล.อ.ประยุทธ์ ในกองทัพกับนอกกองทัพคนละแววตากัน บุคลิก 2-3 ปีแรกจะขึงขัง ตามสไตล์ที่เป็น ผบ.ทบ.มาก่อน ส่วนตัวชอบตามพล.อ.ประยุทธ์ไปตามหน่วยทหารต่างๆ เวลาไปตรวจราชการในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้เห็นตัวตนพล.อ.ประยุทธ์เวลาอยู่กับทหาร ที่ไปร่วมรบหรือคนที่คุยภาษาเดียวกัน รู้สึกได้เลยว่าเวลาเข้าพื้นที่ทหารแล้วเป็นเซฟโซน กล้าที่จะพูดและระบายความในใจออกมา

เป็นคนตลก-ขี้สงสาร-ตาไว-ชอบแซว ส่องโซเชียล

            “เนื้อแท้พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนตลก ตาไว เห็นอะไรก็จะหยิบขึ้นมาแซวได้หมดบางทีนักข่าวนั่งกินข้าวอยู่ หรือกำลังนั่งสัมภาษณ์ สายตาพล.อ.ประยุทธ์สแกนทุกคน บางทีก็จะมีคำแซวผู้สื่อข่าวออกมาว่า เธออย่างนั้นเธออย่างนี้ และไม่มีความซับซ้อน ที่จะต้องมานั่งตีความจากอวัจนภาษา ด้วยคำพูดต่างๆว่าเป็นอย่างไร ที่ผ่านมาท่านมีท่าทีที่ชัดเจนตลอด ในการแสดงออกต่างๆ ถือว่าเป็นจุดที่เราเห็นว่า แตกต่างจากหลายๆผู้นำหรือนักการเมืองคนไหน ที่เราจะต้องมานั่งวิเคราะห์ว่าทำไม อย่างไร”   

            ปรัญชา บอกว่า ได้ติดตามมาทำข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย มักถามพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนสุดท้ายที่ทำให้วงแตก (หัวเราะ) แม้คำถามเราอาจจะมีผลทำให้รู้สึกบ้าง แต่พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยปฏิเสธหรือไม่ตอบ แต่พยายามตอบหรือคุยอะไรตลอด คิดว่าท่านโอเคหน้างานต่างคนต่างทำหน้าที่  แต่ทุกอย่างก็จบลงตรงนั้นไม่มีอะไรติดค้าง ยืนยันว่าทำข่าวมา 9 ปีไม่มีจริงๆ

            คนใกล้ตัวของพล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ท่านขี้สงสารและแคร์ความรู้สึกคน นอกจากนี้ยังอ่านโซเชียลด้วย แต่ยังหาแอคเคาท์ไม่เจอว่าใช้ชื่ออะไร ในบรรดาพี่น้อง 3 ป. ( พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา )  พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่อ่านโซเชียล ขณะที่พล.อ.ประวิตรกับพล.อ.อนุพงษ์ไม่อ่าน กลายเป็นว่าพล.อ.ประยุทธ์รู้ความเคลื่อนไหวในโซเชียลมาก ตรงนี้เป็นจุดโดดเด่น นอกเหนือไปจากความตรงไปตรงมา แสดงออกผ่านความรู้สึกต่างๆ ซึ่งคนจะวิพากษ์วิจารณ์แตกต่างกันไป

 บุคลิกเปลี่ยนหลังขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1

            ปรัญชา บอกว่า พี่ๆผู้สื่อข่าวเล่าให้ฟังว่าบุคลิกของท่าน เปลี่ยนไปตอนช่วงที่ขึ้นมาเป็นแม่ทัพภาค 1เพราะต้องคุมกองกำลังใหญ่มาก พอเข้ามาทำหน้าที่ก็เจอสถานการณ์ทางการเมือง ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์คนเสื้อแดง หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่ง 5 เสือทบ.ก็เป็นช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ แล้วขึ้นเป็นผบ.ทบ.ช่วงรอยต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์  

            ความจริงแล้วพล.อ.ประยุทธ์และ 3 ป.อยู่ในอำนาจการเมืองไทย มาตั้งแต่ปี 2552 ยุคนั้นพล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ส่วนพล.อ.ประวิตรเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทำให้พล.อ.ประยุทธ์อยู่บนสถานการณ์ ความคาดหวังถูกจับจ้องจากสังคมตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุการณ์ปี 2556 และ 2557 ในช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์

            ปรัญชา บอกว่า หลังจากปฏิวัติมามีช่วงเวลาหนึ่ง ที่พล.อ.ประยุทธ์ฟีเวอร์มาก แต่ปี 2559 กระแสเริ่มถดถอยจนมาช่วงหนึ่ง ที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เคยเตือนพล.ประยุทธ์ในบ้านสี่เสาเทเวศร์ว่า กองหนุนลดลงเหมือนกับว่าท่านสะกิดเตือนพล.ประยุทธ์ เป็นสัญญาณแรกที่กระแสเริ่มตกซึ่งเป็นไปตามสภาพของผู้นำ

ตัดสินใจลงสนามการเมืองต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกอีกรอบ

            ปรัญชา บอกว่า  ช่วงที่พล.ประยุทธ์จะต้องเข้าสู่การเลือกตั้ง ประมาณปี 2561 - 2562 จะเห็นว่าปรับเปลี่ยนบุคลิกมาก  มีการตระเวนลงพื้นที่ต่างจังหวัด ใช้โอกาสพบกับนักการเมืองท้องถิ่น ที่เป็นอดีตสส.แต่ละพรรค  คือ พยายามเดินเข้าหาสส.มากขึ้น จนนำมาสู่การเลือกตั้งปี 2562

            ทำให้ผู้สื่อข่าวรู้เลยว่าพล.ประยุทธ์ จะเล่นการเมืองต่ออย่างแน่นอน เพราะร่วมตั้งพรรคพลังประชารัฐกับ 3 ป. แต่ไม่ได้ไปอยู่ตรงๆเพื่อไม่ให้ถูกมองว่า เป็นพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจทหาร โดยให้บรรดาขุนพลการเมืองเทคโนแครตไปตั้งพรรคแทน ต่อมาการเลือกตั้งล่าสุดปี 2566 ได้ร่วมตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้มีพาวเวอร์ควบคุมจัดการได้  จะเห็นได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ปรับตัวอยู่ตลอดเวลาในช่วง 9 ปีที่ผ่านมาเพราะมีความแตกต่างกัน  

 ลงจากหลังเสือได้สวยงาม แต่อำนาจ 3 ป.ยังอยู่

            ปรัญชา บอกว่า ช่วงสถานการณ์โควิดเกิดขึ้น  ทั้งโลกไม่เคยเจอมาก่อน หลายคนคาดหวังให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ทั้งวัคซีนและมาตรการเยียวยา ก็เข้าใจการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์เพราะเจอแบบนี้ก็เหนื่อย เห็นได้ว่าพยายามเดินสายฟังทุกฝ่ายเพื่อหาจุดตรงกลาง  ถึงอย่างไรรัฐบาลก็ต้องโดนวิจารณ์ และยอมรับช่วงนั้นสถานการณ์ของทุกประเทศทั่วโลกถือว่าน่าเศร้าลำบากกันหมด

            “สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ พล.อ.ประยุทธ์ลงจากอำนาจได้ซอฟต์แลนดิ้งมาก มีข้าราชการมาอำลาจำนวนมาก เกิดจากความผูกพัน ซึ่งส่วนใหญ่ภาพแบบนี้มักจะเกิดกับปลัดกระทรวง หรือข้าราชการประจำมากกว่า ที่จะเกิดกับข้าราชการการเมือง คงเพราะข้าราชการเห็นอะไรมากกว่าประชาชนทั่วไป  เห็นทางลงแห่งอำนาจและเห็นอนาคตทางการเมือง ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายแล้วอำนาจไม่ได้เปลี่ยนมือมากนัก กลายเป็นรัฐบาลขั้วเดิมเสียส่วนใหญ่ เกือบครึ่งหนึ่งของคณะรัฐมนตรี สะท้อนว่า 3 ป.ยังคงอยู่”  

            ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์เวลา 11.00-12.00 น. โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5