จับตาสถานการณ์ ฟื้นต้นทุนผู้พิทักษ์กฎหมาย

“ตำรวจทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ไม่ควรที่จะกระทำผิดกฎหมายเสียเอง เพราะจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น หรือศรัทธาต่อตำรวจลดลง ซึ่งตำรวจถือว่าต้นทุนต่ำมากในสายตาประชาชน หากทำอะไรผิดก็จะถูกมองว่าตำรวจอีกแล้วหรือ!! เนื่องจากเป็นผู้พิทักษ์กฎหมาย จึงเป็นที่เพ่งเล็งของประชาชน”

“3 ปี ถูกปลดออก 219 ราย ไล่ออก 675 ราย”

  “กรกมล อักษรเดช ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย” ให้มุมมองถึง “วิกฤติศรัทธา'ตำรวจ'ในสายตาประชาชน” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่พ.ศ. 2564 - 2566 ตำรวจที่ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระหว่างรอการสอบสวนและหลังจากให้ออก จะพิจารณาโทษว่า วินัยร้ายแรงถึงขั้นให้ปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ แบ่งเป็นชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน โดยชั้นสัญญาบัตรถูกให้ออกจากราชการ 3 ปีย้อนหลัง 7 ราย ส่วนชั้นประทวน 77 ราย โดยรวม 3 ปีมีตัวเลขปลดออกอยู่ที่ประมาณ 219 ราย ขณะที่ไล่ออกประมาณ 675 ราย หากเทียบกับ จำนวนตัวเลขของตำรวจทั่วประเทศ ที่มีอยู่ประมาณ 200,000 กว่านาย ก็ถือว่าไม่มาก

  “ตำรวจทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ไม่ควรที่จะกระทำผิดกฎหมายเสียเอง เพราะจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น หรือศรัทธาต่อตำรวจลดลง ซึ่งตำรวจถือว่าต้นทุนต่ำมากในสายตาประชาชน หากทำอะไรผิดก็จะถูกมองว่าตำรวจอีกแล้วหรือ!! เนื่องจากเป็นผู้พิทักษ์กฎหมาย จึงเป็นที่เพ่งเล็งของประชาชน”

“อดีตบิ๊กตำรวจ เสียใจภาพพจน์ตำรวจ เชื่อ ตำรวจน้ำดียังมีอยู่” 

  กรกมล บอกว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ให้มุมมองประเด็นเรื่องภาพพจน์ของตำรวจที่ผ่านมา ท่านบอกได้ฟังข่าวก็รู้สึกเสียใจเพราะหลายคนปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ทำให้อาจจะเสียขวัญและกำลังใจในการทำงานจากข่าวที่เกิดขึ้น แต่ตำรวจดีก็ยังมีอยู่ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ฉะนั้นข่าวคราวของตำรวจที่ไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย หรือกระทำผิดเสียเอง ส่งผลต่อการทำงานของตำรวจคนอื่นๆด้วย 

  เช่น กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพวกนายตำรวจใกล้ชิดอีก 4 คน ที่มีการ ลงนามคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากมีความผิดวินัยร้ายแรง ถูกดำเนินคดีอาญาคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นพบว่ามีความผิดจริง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา 

  กรกมล บอกว่า พล.ต.อ.เอก มองว่าแก้ไขวิกฤติศรัทธาเรื่องนี้ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ถ้าผิดทั้งคดีอาญาก็ต้องดำเนินคดีทางอาญา ในส่วนของการดำเนินการทางวินัย ก็ต้องดำเนินการควบคู่กันไป แต่ทั้งนี้ต้องดูที่พยานหลักฐานต่างๆด้วย ว่าเกี่ยวข้องไปถึงใคร อย่างไรบ้าง ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ย้ายและให้รักษาราชการแทน ดำเนินการตามระเบียบข้อกฎหมายอย่างจริงจัง และดำเนินการทางวินัยอย่างเด็ดขาด

“คาด ผลสรุปคดีบิ๊กโจ๊ก ช่วยกู้วิกฤตศรัทธาของตำรวจได้” 

ส่วนความคืบหน้าคดีของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กรกมล บอกว่า มีการตั้งคณะคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อสอบสวนในเรื่องของวินัยร้ายแรง ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะ เกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าการกระทำต่างๆเป็นความผิดอย่างไรบ้าง มีโทษและมีความผิดหรือไม่ ถ้าไม่มีความผิดก็ยุติเรื่องไป แต่ถ้ามีความผิดถึงขั้นไหน ไล่ออกหรือปลดออก  อยู่ที่การสอบสวนของคณะกรรมการชุดนี้ มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ 270 วัน แต่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 90 วัน หากผลออกมาก็หวังว่าจะช่วยกู้ภาพลักษณ์ และวิกฤตศรัทธาของตำรวจ ให้กลับมาได้อีกครั้ง 

“คกกตำรวจ ตั้งคนนอกร่วมพิจารณา เชื่อ ช่วยกันเองไม่ได้”

  ส่วนกรณีที่ตำรวจมีเรื่องถูกร้องเรียน กรกมล บอกว่า ตามพ.ร.บ.ตำรวจพ.ศ. 2565 มีการตรวจสอบ โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ 9 ท่าน มีตำรวจ 3 ท่านอีก 6 ท่านเป็นคนนอก อาทิ อัยการ นักวิชาการ หน่วยงานปกครอง เข้ามาอยู่ในคณะกรรมการชุดนี้ เพื่อร่วมพิจารณาความผิดของตำรวจด้วย เห็นได้ว่าหากตำรวจกระทำผิด ก็ไม่ได้ตรวจสอบตำรวจด้วยกันเองแล้ว แต่มีคนนอกเข้ามาช่วยพิจารณาการกระทำผิดต่างๆด้วย 

ภาพรวมดีหากไม่เอี่ยวสิ่งผิดกฎหมาย-เรียกรับผลประโยชน์ สะท้อนจากเทศกาลสงกรานต์

  กรกมล มองว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกวัน ก็มีส่วนช่วยกู้ภาพลักษณ์ในสายตาของประชาชนดีขึ้นได้ หากไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ ทั้งการเรียกรับเงิน เรียกรับผลประโยชน์ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ประชาชนก็จะเชื่อมั่นตำรวจมากขึ้น  เห็นได้จากช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ตำรวจไปอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  ประชาชนก็เล่นน้ำสงกรานต์กับตำรวจและมีมิตรภาพที่ดี  ดังนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเองก็มีส่วนสำคัญ

 

  ติดตาม“รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์เวลา 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5​