ในช่วงเวลาวิกฤต มักมีพวกเข้ามาแสวงหาโอกาสหลอกลวงประชาชนอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง
ล่าสุด กองบรรณาธิการเฉพาะกิจ TJA&Cofact ได้รับทราบข้อมูลมาว่า ขณะนี้มีกรณีการอวดอ้างสรรพคุณของสินค้าหลายชนิดที่สามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ได้กลับมาระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะ “บัตรพลังงาน” ซึ่งถูกโฆษณาชวนเชื่อว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคโดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยต่าง ๆ เพียงแค่นำบัตรไปแกว่งในแก้วน้ำแล้วนำมาดื่ม หรือนำแก้วน้ำวางทับบนบัตรแล้วดื่ม รวมทั้งมีการนำบัตรสัมผัสกับร่างกายในจุดที่ปวดเมื่อย หรือแขวนคอเอาไว้เพื่อรักษาสุขภาพ
หากใครจำกันได้ในกรณีของบัตรพลังงานดังกล่าว เคยเกิดขึ้นและกลายเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจอย่างมากตั้งแต่ปี 2562 หลังจากพบว่ามีชาวบ้านในจังหวัดขอนแก่นหลายคนหลงซื้อบัตรพลังงานจากบริษัทแห่งหนึ่งที่อ้างว่า เป็นตัวแทนนำบัตรพลังงานมาจำหน่ายในรูปแบบของการให้ประชาชนสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย
หนึ่งในผู้ที่ถูกชักชวนให้สมัครสมาชิก “บัตรพลังงาน” บอกว่า บัตรนี้สามารถใช้รักษาอาการปวดหลังของตนเองได้ ซึ่งก่อนจะได้บัตรนี้มา ได้มีคนจากบริษัทแห่งหนึ่งมาชักชวนให้เข้าอบรม และสาธิต สรรพคุณของบัตรให้ดู ช่วงระหว่างการสาธิต เมื่อพนักงานนำบัตรลักษณะเป็นสมาร์ทการ์ด มาแตะที่ตัวตนเองรู้สึกมีอาการชา และพอนำบัตรออก ก็หายจากอาการชา
เมื่อเห็นว่ามีผลต่อร่างกายจริง จึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกเพื่อจะได้สมาร์ทการ์ดนำกลับมาใช้ โดยสมัครครั้งแรก มีการให้เลขที่บัญชีกับเจ้าหน้าที่ และได้จ่ายเงินไป 4,400 บาท ได้บัตรมา 5 ใบ หลังจากนั้นตนจึงนำมาบอกต่อคนที่สนใจ โดยขายให้ในราคา 1,100 – 1,500 บาท เพื่อให้นำไปรักษาอาการปวดเมื่อย ซึ่งหากตนเองขายได้ และมีสมาชิกเพิ่มจะได้เงินเพิ่มเข้ามาในบัญชี
ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกมาแจ้งเตือนว่าอย่าหลงเชื่อ และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย พร้อมทั้งประสานให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเข้ามาตรวจสอบ พร้อมทั้งมีการตรวจสอบข้อกฎหมายของสคบ. ประกอบไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องของการโฆษณา
นั่นคือ การกระทำผิดด้านการโฆษณาสินค้า ฐานเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าโดยใช้โฆษณา หรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงด้วย
ขณะเดียวกันทาง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ยังแจ้งเตือนถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะข้อมูลด้านความปลอดภัยทางรังสี ซึ่งจากข้อมูลที่สำนักงานฯ เคยตรวจวิเคราะห์บัตรพลังงาน พบวัสดุนิวเคลียร์ ทอเรียม 232 (Th-232) ปริมาณรังสีแต่ละบัตร มีค่าประมาณ 0.86 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นระดับรังสีสูงกว่าในธรรมชาติประมาณ 3 เท่า เพราะตามปกติประชาชนจะได้รับรังสีในธรรมชาติซึ่งมีต้นกำเนิดการแผ่รังสีมาจากอวกาศ พื้นดิน แหล่งแร่ในธรรมชาติ สิ่งก่อสร้าง ฯลฯ มีปริมาณรังสีเฉลี่ย 0.27 ไมโครซีเวิร์ตต่อชั่วโมง เท่านั้น
หากมีการนำบัตรพลังงานมาใช้ตามคำกล่าวอ้าง เช่น การนำมาสัมผัสหรือติดตามร่างกายตลอดเวลา หรือนำไปแกว่งในแก้วน้ำ จะทำให้มีการได้รับปริมาณรังสีสะสมโดยไม่จำเป็น ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในระยะยาวได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการหรืองานวิจัย ที่แสดงว่าบัตรพลังงานมีประโยชน์ในการรักษาทางการแพทย์ได้
ดังนั้น เพื่อลดโอกาสการเกิดผลกระทบจากรังสีต่อร่างกายในระยะยาว จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้สินค้าที่มีส่วนผสมของวัสดุกัมมันตรังสี หรือวัตถุอันตราย เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์หรือความคุ้มค่าแล้ว อาจได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น ซึ่งมีปริมาณสูงกว่าระดับรังสีที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หากประชาชนสงสัย พบเห็นหรือมีบัตรพลังงานหรือบัตรสมาร์ทการ์ดที่มีสารกัมมันตรังสีเป็นส่วนประกอบ สามารถโทรแจ้งสายด่วนเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ที่หมายเลข 1296 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ดีที่สุด คือ ขอแนะนำทุกคนหากจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าอะไร ควรจะต้องตรวจสอบข้อมูลของสินค้าให้รอบคอบ ศึกษารายละเอียดของสินค้า หากไม่แน่ใจก็ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน จากนั้นจึงสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เพื่อไม่ให้เราเองถูกหลอก เพราะนอกจากทำให้เสียงเงินแล้ว ยังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงก็เป็นได้