ฟังเสียงการแถลงการณ์และเนื้อหาการเสวนา เสรีภาพ ที่ไม่คุกคาม
{mp3remote}http://www.tja.or.th/images/sound2556/560503-pressfreedom.mp3{/mp3remote}
แถลงการณ์ 3 พฤษภาคม 2556 วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก
หัวข้อ เสรีภาพที่ ไม่คุกคาม
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้ประกาศให้วันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปีเป็น “ วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ” เพื่อย้ำถึงเจตนารมณ์และหลักการพื้นฐานของเสรีภาพการแสดงความเห็นนและการแสดงออก ซึ่งในปี2556 ยูเนสโกได้จัดให้มีการรณรงค์ในเรื่องความปลอดภัยในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยเน้นการส่งเสริมให้สื่อมวลชนทุกแขนงสามารถเข้าถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยปราศจากการแทรกแซงและคุกคาม เสรีภาพของสื่อมวลชน มีความสัมพันธ์กับเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออกของบุคคล หากสื่อมวลชนไม่มีเสรีภาพ ก็ยากที่บุคคลจะมีเสรีภาพในการแสดงความเห็นและแสดงออก เนื่องจากบุคคลต้องใช้ในเสรีภาพดังกล่าวผ่านสื่อต่างๆ
สำหรับบรรยากาศการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนในทุกประเภท ในยุคที่สังคมไทยได้เกิดสื่อขึ้นอย่างมากมาย แต่ละฝ่ายได้เปิดดำเนินการสื่อของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี วิทยุชุมชน สื่อออนไลน์ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างใช้สื่อเพื่อรายงานข่าว ความคิดเห็นหรือจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง สังคมได้ตั้งคำถามถึงการใช้เสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ว่ามีส่วนที่ทำให้สังคมเกิดความขัดแย้ง ความแตกแยก ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ละเมิดกฎหมาย สิทธิ เสรีภาพของบุคคลอื่นเสียเอง นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวหาและข้อสงสัยอีกจำนวนมาก เช่น ความไม่เป็นกลาง, สื่อเลือกข้าง ,สื่อไม่ได้สร้างหรือเปิดพื้นที่อย่างเป็นธรรมกับความเห็นที่แตกต่างหรือบุคคลที่ถูกพาดพิง ,ข่าวที่สื่อนำมาเสนอแตกต่างกับเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ที่เกิดขึ้นจริง ฯลฯ ซึ่งคำถามและข้อสงสัย เหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือและความน่าไว้วางใจในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในสังคมไทย
นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมาต่อเนื่องหลายปี ก็ยังคงดำรงอยู่ ทั้ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมือง โดยแต่ละฝ่ายได้ใช้เสรีภาพเพื่อการแสดงออกถึงจุดยืนและความเห็นทางการเมือง ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พึงกระทำได้ในสังคมประชาธิปไตย แต่จากข้อเท็จจริง การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมืองของบุคคลหรือกลุ่มการเมืองในช่วงเวลาที่ผ่านมา พบว่าในบางครั้งมีเจตนาเพื่อปลุกเร้า หรือก่อให้เกิดการกระทำที่ผิดทางกฎหมายหรือเป็นลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคมได้ ขาดความอดทนต่อความเห็นที่แตกต่าง ส่งผลให้การแสดงความคิดเห็นของบุคคลตกอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัย สังคมมีความหวาดกลัว และทำให้การใช้เหตุผลและปัญญาเพื่อหาทางออกร่วมกันในปัญหาสำคัญของประเทศลดน้อยลงไปด้วย
ในโอกาส วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงเรียกร้องฝ่ายต่างๆ ให้ร่วมกันตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพ “เสรีภาพที่ ไม่คุกคาม” ดังนี้
1. สนับสนุนและส่งเสริมเสรีภาพการแสดงความเห็นและการแสดงออกของประชาชน ภายใต้ หลักการ “เสรีภาพ ที่ไม่คุกคาม” คือ เสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออกของบุคคลและสื่อมวลชนต้องมีความปลอดภัย ปราศจากการถูกแทรกแซง คุกคาม ในขณะเดียวกันต้องไม่ใช้เสรีภาพ ไปคุกคามการใช้เสรีภาพของบุคคลอื่น รับฟังและอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง ต้องไม่ปลุกเร้า เพราะอาจก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นในคมได้
2. ขอเรียกร้องให้สื่อมวลชน พึงตระหนักถึงการทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ภายใต้กรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพ นั้นคือ ต้องรายงานข่าวสาร ด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ด้วยข้อมูลรอบด้าน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเที่ยงตรง เพื่อรักษาไว้ซึ่งประโยชน์แห่งสาธารณะ ต้องตระหนักร่วมกันว่าหากนำเสนอข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริง หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง นั้น จะนำไปสู่การให้ทางเลือกที่ผิดกับประชาชน
3. ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งทางการเมือง การรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ เสรีภาพในการแสวงหาข่าวสารและรายงานข่าวสารให้ประชาชนรับรู้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องไม่ถูกขัดขวาง การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนต้องไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจรัฐและอำนาจทุน รวมทั้งกลุ่มการเมืองและกลุ่มอิทธิพลใดๆ ที่สำคัญต้องร่วมกันสนับสนุนหลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา46 ที่มุ่งคุ้มครองเสรีภาพผู้ที่เป็นสื่อมวลชนให้เป็นอิสระจากเจ้าของ ทั้งที่เป็นสื่อของรัฐและเอกชน
4. สื่อมวลชนต้องร่วมกันเสริมสร้างบทบาทในการขับเคลื่อนหาทางออกในสังคม แสดงบทบาทนำในการเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูล รับฟังเหตุผลที่แตกต่างหลากหลาย พร้อมร่วมกันสร้างบรรยากาศของการใช้เหตุผล เพื่อให้สังคมไทยออกจากความขัดแย้ง ความแตกแยก ได้อย่างสันติ
5. ขอให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ยุติและทบทวนการบิดเบือนเจตนารมณ์ในการปฏิรูปสื่อ วิทยุ โทรทัศน์ โดยต้องกระจายคลื่นความถี่ที่อยู่ในการครอบครองของรัฐไปสู่สาธารณะชนอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม และต้องกำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาให้ใบอนุญาตโทรทัศน์ดิจิตอลสาธารณะ และโทรทัศน์ดิจิตอลเพี่อชุมชนให้ชัดเจน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคมอย่างรอบด้าน
6. ท่ามกลางความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ ชีวิตประจำวันของประชาชนถูกแวดล้อมด้วยสื่อ มีปริมาณข่าวสารจำนวนมาก การรู้ทันสื่อ จึงมีความสำคัญ ต้องแยกความคิดเห็นออกจากข้อเท็จจริง ต้องหาข้อมูลจากสื่อหลายๆสื่อ เพื่อประกอบการตัดสินใจ รวมทั้งพึงตระหนักว่า สื่อออนไลน์เป็นพื้นที่สาธารณะ หากไม่ระมัดระวังอาจมีผลกกระทบกับตัวเองและบุคคลอื่นได้
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
3 พฤษภาคม 2556
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธาน สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ คณบดี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ศ. ดร. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผศ. วลักษณ์กมล จ่างกมล คณบดีคณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
จักรกฤษ-วลักษณ์กมล-ชัยวัฒน์ เผยใน งานเสวนา “เสรีภาพ...ที่ไม่คุกคาม” “สื่อมวลชน” โดนคุกคาม ทั้งจาก รัฐ-กลุ่มทุน ต้องมี “จริยธรรม” ในการทำงาน
วันที่ 3 พ.ค. 56 ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมสิทธิเสรีภาพสื่อในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก World Freedom Day ณ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยเปิดให้มีการเสวนาเรื่อง “เสรีภาพ...ที่ไม่คุกคาม”
นายจักรกฤษ เพิ่มพูน ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุในงานเสวนาว่า เวลาที่เราพูดถึงสื่อเรามักจะถามหาเสรีภาพ เราใช้เสรีภาพกันไม่เป็นจึงเป็นเหตุให้ต้องมีสภาการหนังสือพิมพ์คอยควบคุมกำกับดูแล เมื่อก่อนสมัยรัฐบาลทหารมีการคุกคามสื่ออย่างชัดเจน คือ มีการสั่งคนไปล่ามโซ่แท่นพิมพ์ของสำนักพิมพ์ที่นำเสนอข่าวของทางรัฐบาลทหารในด้านลบ แต่พอหลังจากที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน การคุกคามก็เริ่มเปลี่ยนไปในรูปของกลุ่มทุนที่เข้ามาแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน
“เมื่อก่อนพื้นที่การลงข่าวในหนังสือพิมพ์กับพื้นที่โฆษณาแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่สมัยนี้เราไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้เลย ความเป็นอิสรเสรีภาพของกองบรรณาธิการก็ถูกคุกคามโดยอำนาจของกลุ่มทุนนิยม” นายจักรกฤษ กล่าว
ด้าน นางวลักษณ์กมล จ่างกมล คณะบดีคณะวิทยาการสื่อสาร ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เสนอวิธีการการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ไม่ให้คุกคาม กระบวนการสันติภาพ ว่า 1.สื่อมวลชนควรพิจารณาถึงกรอบของการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร 2.สื่อมวลชนต้องเรียนรู้ถึงรากเหง้าของปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนที่จะทำข่าว 3.ความขัดแย้งไม่ได้ถูกควบคุมโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หน้าที่ของสื่อมวลชนก็ควรที่จะเปิดเวทีให้ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุย
“กระบวนการสันติภาพมีความอ่อนไหวและอ่อนแอมาก สื่อมวลชนควรที่จะช่วยกันประคับประคองให้กระบวนการสันติภาพเดินไปได้”
นางวลักษณ์ ยังกล่าวอีกว่า สมาคมนักข่าวควรจะพานักข่าวส่วนกลางลงพื้นที่ในสามจังหวัดภาคใต้ เพื่อศึกษาถึงปัญหาอย่างแท้จริง เพราะสื่อมวลชนสามารถเป็นตัวแทนทางการทูตได้
ด้าน นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุว่า การคุกคามถือเป็นเรื่องทางจิตใจหรือจิตวิทยา มีผลต่อผู้รับสารอย่างมาก สื่อจะถูกคุกคามจากรัฐหรือกลุ่มทุนนั้นไม่แปลก เพราะสื่อวันนี้เป็นธุรกิจเยอะมาก และถ้าอยู่ในโลกของธุรกิจก็ต้อง ถูกผูก ถูกลาก ถูกดึง จากกระแสของทุนอยู่แล้ว “้เบอร์ทัลรัสเซลส์ บอกว่า เสรีภาพ เปรียบได้กับเสือ ต้องให้อยู่แต่ในกรงจะสวยงามมาก เนื่องจากเสือมีเขี้บวเล็บ เสรีภาพนั้นก็มีเขี้ยวเล็บ เพราะฉะนั้นเสรีภาพ จึงทรงพลังอย่างมาก”
นาย.ชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในทางทฤษฎีเสรีภาพจะต้องมี 2 แบบ แบบแรกเรียกว่า เสรีภาพเชิงลบ อีกแบบคือเสรีภาพเชิงบวก เสรีภาพเชิงลบหมายความว่า มนุษย์ที่ไม่มีอุปสรรคอื่นๆมาสกัดขัดขวาง ส่วนเสรีภาพเชิงบวกหมายความว่า มนุษย์ที่มีความสามารถที่จะควบคุมตัวเองได้
“ผมคิดว่าในอนาคต คนทำสื่ออยากทำสื่อแบบรายงานความจริง บวกกับรายงานความคิดเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของตนเองลงไปด้วย” ดร.ชัยวัฒน์ กล่าว