“การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีความสำคัญกับประเทศต่างๆทั่วโลกมากอยู่แล้ว เพราะสหรัฐอเมริกา คือ มหาอำนาจโลก การที่ “สหรัฐเปลี่ยน แล้วโลกก็เปลี่ยน” คำนี้ยังใช้ได้อยู่”
ทศพล ชัยสัมฤทธิ์ผล รองบรรณาธิการบริหาร TNN Online วิเคราะห์ “สมรภูมิศึกพญาอินทรี : เลือกตั้งสหรัฐฯ กำหนดอนาคตโลก” ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีความสำคัญกับประเทศต่างๆทั่วโลกมากอยู่แล้ว เพราะสหรัฐอเมริกา คือ มหาอำนาจโลก การที่ “สหรัฐเปลี่ยน แล้วโลกก็เปลี่ยน” คำนี้ยังใช้ได้อยู่ แม้ว่าตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกของสหรัฐสั่นคลอนไปเยอะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพราะประเทศจีนและชาติอื่นๆ ขึ้นมาค่อนข้างเยอะ”
ทศพล บอกว่า หากพูดถึงในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์โลก นายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโจ ไบเดน มีนโยบายที่แตกต่างกันชัดเจน ช่วงที่โจ ไบเดนดำรงตำแหน่งจะเห็นว่ามีสงครามเกิดขึ้นมากมาย อาทิ สงครามรัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ตอนนี้ขยายวงกว้างไปยังตะวันออกกลาง เพราะอิสราเอลขึ้นเหนือไปต่อสู้กับฮิซบอลเลาะห์แทน ซึ่งสงครามทั้ง 2เหตุการณ์นี้ มีสหรัฐเกื้อหนุนฝ่ายที่มองว่าเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง โดยสหรัฐสนับสนุนเงินบริจาคและอาวุธสงครามรายใหญ่ ให้กับยูเครนต่อสู้กับรัสเซีย และสหรัฐก็สนับสนุนยุทธโธปกรณ์ต่างๆให้กับอิสราเอล แม้ว่าช่วงหลังๆจะต่อต้าน เพราะถือว่าอิสราเอลทำเกินขอบเขตไปบ้างในกรณีของฮามาส
“หากทรัมป์ขึ้น สหรัฐกลับสู่นโยบายชาตินิยม-มีเงินอัดฉีดในประเทศ”
ทศพล บอกว่า หากโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี เขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องในประเทศเป็นหลัก บรรยากาศจะกลับไปสู่ในยุคของชาตินิยมอีกครั้ง เหมือนสมัยที่เขาเคยดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2016 - 2020 นั่นหมายถึงเงินที่สนับสนุนสงคราม เงินต่างๆที่ออกนอกประเทศ ที่เกื้อหนุนด้านประชาธิปไตยหรือเกื้อหนุนให้กับฝ่ายที่กำลังทำสงคราม ที่สหรัฐสนับสนุนส่วนนี้อาจจะลดทอนหรือหายไปจำนวนมาก
ทศพล บอกว่า สหรัฐจะถอยบทบาทไปตรงที่ไม่ได้ใช้เงินอัดฉีด อาวุธสงครามให้กับฝ่ายที่ตนเองมองว่าเป็นพันธมิตร แต่จะใช้วิธีการเข้าหา ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ให้สัญญาณมาแล้วว่าจะไปเจรจากับ วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เพราะถ้าเขาชนะการเลือกตั้งประกาศเลยว่า ยุคของเขาจะเป็นยุคที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะยุติ แต่จะยุติอย่างไรก็คงต้องรอดู ขณะที่อิสราเอลจะยากนิดหนึ่ง เพราะดูท่าทางแล้วจะไม่ได้ให้การสนับสนุนเหมือนเมื่อก่อน แต่อิสราเอลก็มีจุดยืน คือ ต้องการทำสงครามต่อไป
“เกิดแรงกระแทกแน่นอน หากขั้วผู้นำสหรัฐเปลี่ยน-สหรัฐหันไปผลิต,ใช้สินค้าในประเทศมากขึ้น”
ทศพล บอกว่า ส่วนเรื่องประเด็นเศรษฐกิจ ถ้าจำได้ในยุค 2016 - 2020 เศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้ดีมาก ถ้าดูสถิติจากการเติบโตของ GDP ในยุคของโจ ไบเดนจะดีกว่า ซึ่งยุคนั้นเกิดสถานการณ์โควิดขึ้น ก็เป็นส่วนที่อธิบายได้ แต่ในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเห็นข่าวที่ออกมาบ่อยๆ คือ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนและคราวนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า จากประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ
ทศพล บอกว่า หมายความว่าสหรัฐจะเกื้อหนุนประเทศตัวเอง ผลิตสินค้าใช้เองมากขึ้นและพยายามจะลดการนำเข้า สินค้าจากต่างประเทศ สมมุติว่าสินค้าจากประเทศจีน จะโดนขึ้นภาษีไปอีกหลาย 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาก็หมายความว่าสินค้าจากประเทศจีน ต้องหาที่ลงและไหลไปยังประเทศที่จีนได้ผลประโยชน์ ในเรื่องภาษีนำเข้า เช่น ไทย , อาเซียนและประเทศในฝั่งตะวันออกต่างๆ ซึ่งประเทศไทยอาจจะเห็นเรื่องของสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามามากขึ้น ส่วนกรณีที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐ ก็ต้องดูว่าเขาจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศไทยหรือไม่ ถ้าขึ้นประเทศไทยก็เสียประโยชน์อย่างแน่นอน
“ไทยต้องเตรียมหาตลาดใหม่ หากขั้วเปลี่ยน”
ทศพล บอกว่า ตรงนี้มีนักวิเคราะห์ออกมาพูดว่า เราต้องกระจายหาตลาดใหม่ๆ เพื่อรองรับในกรณีที่ขั้วของสหรัฐเปลี่ยน อาจจะต้องหาตลาดใกล้เคียง หรือตลาดที่ไทยส่งออกไปแล้วได้ประโยชน์มากกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนต้องดูวันต่อๆไป และเตรียมรับมือ เพราะถ้าเปลี่ยนขั้วแรงกระแทกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เสียงปืนแตก พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ทำกระแสนิยมทรัมป์พุ่งแรง”
ทศพล บอกว่า เสียงปืนที่ลอบสังหารโดนัลด์ทรัมป์ ได้ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ของฝั่งชาตินิยม และทลายกำแพงแตกในฝั่งพรรคเดโมแครตด้วย เพราะตอนนี้เริ่มมีปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยเห็นมาก่อน ซึ่งเป็นช่วงของการเตรียมประชุม เพื่อรับรองผู้แทนที่จะมาชิงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งยูนิตี้มีความสำคัญมากๆ ตอนนี้ยูนิตี้ของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มาเต็มๆมากๆ คนที่เคยต่อต้านเขากลับมาให้การสนับสนุน แต่ในส่วนของฝั่งพรรคเดโมแครต
ทศพล บอกว่า เสียงปืนนั้นทำให้คนเริ่มตั้งคำถามว่า “เอ๊ะ!! ประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งมา 3 ปีครึ่ง ยังสามารถเอาชนะโดนัลด์ ทรัมป์ได้หรือไม่ ก็เลยเกิดเหตุการณ์ที่นักการเมืองออกมาเรียกร้อง ให้โจ ไบเดนถอนตัวออกไป แล้วเอาคนอื่นที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาแทน ซึ่งเสียงตรงนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผลโพลก็เห็นด้วยไปทางนายโดนัล ทรัมป์มากขึ้น คือ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ ขณะที่โจ ไบเดนยังได้ไม่ถึงครึ่งเลย”
“กมลา แฮร์ริส มีแต้มต่อ พอฟัดเหวี่ยงทรัมป์”
ทศพล บอกว่า คนที่จะมาแทนโจ ไบเดน และมีสิทธิ์มีเสียงมีแต้มต่อที่จะพอฟัดเหวี่ยงกับโดนัลด์ ทรัมป์ คือ นางกมลา แฮร์ริส แต่ต้องยอมรับว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานางกมลาแฮร์ริสไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่ก็คงจะสร้างความสามัคคีได้มากกว่าโจ ไบเดน ที่มีประเด็นทั้งเรื่องของผลงาน , การทำดีเบตได้ไม่ดีและสุขภาพย่ำแย่ ขนาดขึ้นเวทีไปยังเรียกชื่อประธานาธิบดียูเครน เป็นชื่อประธานาธิบดีรัสเซีย ตรงนี้ก็มีการมองว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว
ทศพล บอกว่า การดีเบต คือ มาแก้ต่างเรื่องความไม่พร้อมหรือความพร้อมต่างๆ มาพูดว่าเศรษฐกิจในยุคของ โจ ไบเดน มีปัญหาน้อยกว่าหรือดีขึ้น กว่าสมัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ แต่พอเปิดโอกาสให้ดีเบตแล้วโจ ไบเดน กลับทำได้ไม่ดี ตรงนี้เหมือนหมุดปักว่าโจ ไบเดน อาจจะไม่พร้อมแล้ว และโมเมนตัมตอนนี้พรรคเดโมแครต ก็เป็นไปในทิศทางที่อยากจะให้โจ ไบเดน ถอนตัว
“ภาพลักษณ์ไบเดน-คนใกล้ตัวเป็นจุดอ่อน คนรุ่นใหม่ไม่หนุน”
ทศพล บอกว่า จุดอ่อนของโจ ไบเดน ที่ทำให้พรรคเดโมแครตไม่สนับสนุน และความนิยมของเขาต่อชาวสหรัฐตกลงไป คือ ภาพลักษณ์ในเวลานั่งประชุม หรือยืนแถลงข่าวดูเหมือนง่วงและยืนหลับ ซึ่งคนรุ่นใหม่ก็เสพโซเชียลมีเดีย เห็นเป็นภาพลักษณ์ที่ติดตา ซึ่งกระแสเรื่องของความรู้สึก มองข้ามเรื่องผลงานไปมากพอสมควร เราเห็นภาพของความไม่พร้อม ในฐานะผู้นำของประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ในสังคมออนไลน์
ทศพล บอกว่า นอกจากนี้เรื่องคดีความของลูกชายโจ ไบเดน ที่เพิ่งตัดสินไปเมื่อไม่นานในการครอบครองปืนโดยมิชอบ แต่เรื่องนี้ก็มีกระแสความเห็นใจเขาพอสมควรนอกจากเรื่องที่เกิดขึ้น 2 ครั้งในยุคของ โจ ไบเดน คือ สหรัฐทุ่มงบประมาณมหาศาล ในกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามอิสราเอล-ฮามัส ซึ่งตรงนี้ชาวอเมริกันมองว่าเบื่อหน่ายกับสงครามเต็มทีแล้ว เพราะทั้ง 2 กรณีนี้กระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง และยังนำเงินมหาศาลหลายแสนล้าน ไปทุ่มให้กับประเทศที่ไม่รู้ว่าจะรบชนะหรือไม่
“ทรัมป์ ชูไม่หนุน-พร้อมยุติสงคราม ทำศก.สหรัฐเป็นบวก”
ทศพล บอกว่า ปัจจัยเรื่องสงคราม อยู่ในความคิดของชาวอเมริกันพอสมควร และเป็นนโยบายที่โดนัลด์ ทรัมป์ ค่อนข้างให้ความสำคัญและเห็นคีย์เวิร์ดบางอย่าง ในการเดินสายหาเสียงเขาบอกว่า จะเข้ามายุตติสงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นอย่างแรก โดยจะใช้อำนาจและคอนเน็คชั่นส่วนตัว ที่อาจจะดีกับผู้นำของรัสเซียและผู้นำของจีน คือ สีจิ้นผิง ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐดีขึ้น ด้วยการที่ไม่นำเงินออกไปช่วยการต่อสู้ ที่อาจจะมองว่าเป็นสงครามตัวแทนหรือไม่ เป็นต้น
“กระสุนนัดเดียว ทำขั้วเปลี่ยน”
ทศพล บอกว่า การลอบยิงโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นว่ากระสุนปืนนั้นที่ยิงเฉี่ยวหูขวา โดนัลด์ ทรัมป์ ไปทำให้สิ่งต่างๆเรื่องของความที่เป็นหลุมบ่อใหญ่ ทีโดนัลด์ ทรัมป์ ปีนขึ้นมาไม่ได้ แต่กลับกลายเป็นการโยนเชือกให้เขาหลุดจากตรงนี้ขึ้นมา เพราะคนแทบจะไม่พูดถึงเรื่องของคดีที่โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเจอหรือความผิดที่เขาเคยทำเลย แต่คนอเมริกันมองว่า คือ ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย และโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ใช้คำว่าเขาโดนกระสุนปืน เพราะปกป้องประชาธิปไตย เปรียบเสมือนจู่ๆ จากคนเลว กลายเป็นคนดี ซึ่งตอนนี้พรรคริพับลิกันก็พยายามปั่นกระแสในเรื่องนี้อยู่
“ผู้สนับสนุนเห็นใจ จากภาพจำโดนกระสุน เพื่อปกป้องประชาธิปไตย”
ทศพล บอกว่า ขณะที่ผู้สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ในเวทีต่างๆ มองว่าเขาโดนกระสุนแทนพวกเรา จากการที่เขาเป็นเกราะป้องกันประชาธิปไตย ตรงนี้เป็นภาพจำแล้วเกิดความรู้สึกซ้ำๆ ปั่นเข้ามาในสังคมออนไลน์ ทำให้คะแนนนิยมของเขาพุ่งสูงขึ้นจำนวนมาก ซึ่งก่อนที่กระสุนนั้นจะดังขึ้น คะแนนของโดนัลด์ ทรัมป์กับโจ ไบเดนก้ำกึ่งกันอยู่ ซึ่งความก้ำกึ่งนั้นสำคัญเพราะถ้าย้อนไปในปี 2020 ที่มีการเลือกตั้งโจ ไบเดนก็เฉือนชนะโดนัลด์ ทรัมป์เล็กน้อย แต่คราวนี้โพลหลายสำนักให้โดนัลด์ ทรัมป์ หลุดจากคำว่าก้ำกึ่งในแดนอันตราย มาสู่สถานการณ์ที่ว่าถ้าอีกหลายเดือนต่อจากนี้ ยังเป็นสถานการณ์นี้อยู่ยังไงโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ชนะนั่นคือ Impact แรงมากๆของกระสุนนัดที่ยิง ซึ่งไม่รู้ว่าแรงจูงใจของเยาวชนอายุ 20 ปีคนนั้นยิงเพราะอะไร
“นักวิเคราะห์ ประเมินทรัมป์คะแนนนิยมพุ่ง-ชนะเลือกตั้ง จากเหตุกระสุน”
ทศพล บอกว่า มีนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า กระสุนนัดดังกล่างแค่ดังครั้งนั้น ก็รู้ว่าใครจะชนะเลือกตั้ง ต้องยอมรับว่าโดนัลด์ ทรัมป์ เปลี่ยนสถานการณ์จากวิกฤตไปเป็นโอกาสแบบเอาถึงตาย มีการล้มลงไปแล้วลุกขึ้นมาเลือดกกหู แต่ยังโชว์กำปั้นถือเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่แท้จริงที่ว่าฉันรอดตาย เพราะภาพที่เห็นเขาสั่นๆเล็กน้อยพยายามใช้จังหวะนี้มากู้ ทำให้คะแนนนิยมของเขาพุ่งขึ้นมาได้แบบข้ามคืน
“ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐคนเดียวที่โดน 4 คดีอาญา หลังลงจากตำแหน่ง”
ทศพล บอกว่า หากย้อนตามข้อเท็จจริงโดนัลด์ ทรัมป์ คือ อดีตประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ที่โดนคดีอาญา หลังจากดำรงตำแหน่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว 4 คดีใหญ่ๆ คือ 1.จ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับดาวโป๊ ที่ถูกอ้างว่าหลับนอนกับเขา ในช่วงการหาเสียงปี 2016แต่คดีนั้นได้สิ้นสุดไปแล้วในศาลชั้นต้น 2. คดีใหญ่ที่สุดในปี 2021 เป็นช่วงการเปลี่ยนอำนาจที่โจ ไบเดน จะขึ้นมารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ เหมือนให้ข้อมูลถูกมองได้ว่าปลุกปั่นให้ผู้ประท้วง ไปบุกอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตันดีซี ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ โดนคดีนี้จ่ออยู่ แต่ดูจากแนวโน้มแล้วคดีนี้อาจจะไม่ได้มีการพิจารณาคดี ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งนี้เกิดขึ้น และหากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดี เขาก็อาจจะออกกฎหมายล้างความผิดในส่วนนี้ แต่อีก 2 คดีที่ยังคงจ่อคอหอยโดนัลด์ ทรัมป์อยู่ ฉะนั้นกรณีลูกชายโจ ไบเดน โดนคดีครอบครองปืนโดยมิชอบ หากเทียบกับโดนัลด์ ทรัมป์แล้วถือว่าน้อยมาก แต่สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่เชียร์คนที่มีแนวโน้มว่าจะแพ้ โดนกดขี่ หรือไม่ว่าจะทำผิดหรือทำถูก
“ทรัมป์มา เชื่อ สหรัฐเปลี่ยนโลกต้องเตรียมรับมือหรือตอบโต้กำแพงภาษี”
ส่วนประเทศไทยจะได้อะไรจากผลการเลือกตั้งสหรัฐในครั้งนี้ ทศพล บอกว่า ถ้ามองในฐานะประชาชนทั่วไปอาจจะไม่รู้สึกมาก แต่นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเปลี่ยนแปลงไปหนักมาก เพราะเมื่อสหรัฐเปลี่ยนโลกก็ต้องรับมือหรือตอบโต้หากเขาขึ้นมา แม้เขาจะอ้างว่าเข้าหาประเทศจีนได้ แต่กำแพงภาษีที่จะขึ้นสินค้าจากจีนมาแน่นอนและค่อนข้างหนัก เพราะเรื่องกำแพงภาษีเป็นอาวุธที่โดนัลด์ ทรัมป์พยายามจะเอาเงินให้อยู่ในประเทศและไม่ไหลออกให้มากที่สุด
“ไทยรับมือสู้สินค้าราคาถูกจากจีนได้หรือไม่-ส่งออกไปสหรัฐ เจอกำแพงภาษีก็อ่วม”
ทศพล บอกว่า ตามปกติสินค้าที่ต้องไหลไปสหรัฐ ถ้าไปไม่ได้ก็ต้องหาที่ลงและประเทศไทยมีนโยบาย ที่จะรับสินค้าที่จะไหลเข้ามาในประเทศมากขนาดนั้นหรือไม่ สินค้าของไทยมีคุณภาพมากพอ ที่จะสู้กับสินค้าสินค้าราคาถูกที่จะไหลประเดประดังเข้ามาหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันเราก็เห็นอยู่ว่าสินค้าราคาถูก ไหลเข้ามาอย่างปลอดภาษี หรือภาษีน้อยมากๆ ซึ่งรัฐบาลก็พยายามแก้ไขปัญหาตรงนี้อยู่
ทศพล บอกว่า ส่วนสินค้าที่ประเทศไทยจะส่งไปสหรัฐ หากส่งออกไปแล้วโดนกำแพงภาษีขึ้นมา ปรากฏว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศในลิสต์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ มองว่าเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐ แล้วเขาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย สินค้าดังกล่าวจากไทยจะไหลไปที่ไหน เพื่อทำให้ดุลการส่งออกของไทยยังคงดีอยู่ เพราะสิ่งแรกที่ประเทศไทยต้องการคือกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ชาวโลกจะเห็นสีสัน-วาทกรรม ว่าที่ผู้นำสหรัฐมากขึ้น เหตุ ทรัมป์หิวแสง”
ทศพล บอกว่า ส่วนเรื่องความรู้สึกของประชาชน ก็จะได้เห็นสีสันที่จะวาบหวาม และการเมืองสหรัฐที่มีวาทกรรมมากขึ้น ซึ่งสื่อมวลชนมองว่าจะเป็นเรื่องดี เพราะข่าวของสหรัฐก็จะมีคนสนใจมากขึ้น เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์มีสไตล์ที่เอาแสงเข้าตัวอยู่แล้ว ผมคิดว่าปัจจัยที่เป็นหลักๆ ก็คือ เศรษฐกิจมหาภาคกับความรับรู้ของประชาชนว่า เราต้องหันกลับไปดูสหรัฐ เพราะหากโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาแล้ววันนี้เขาพูดอะไร
“ไทยได้อานิสงส์จากนโยบายทรัมป์ ที่ระบุจะยุติสงคราม”
ส่วนนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระบุจะยุติสงครามนั้น ทศพล มองว่า ประเทศไทยจะได้อานิสงส์จากนโยบายนี้เช่นกัน เพราะหลายคนบอกว่าของแพงเพราะสงคราม ตอนที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็มีปัญหาในเรื่องของธัญพืชขาดแคลน เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกธัญพืชหลัก ทำให้ราคาข้าวของแพงขึ้นในช่วงเกิดสงคราม ขณะที่อิสราเอล คนไทยได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในส่วนของแรงงานที่ไปทำงาน
ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์ 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคลื่นข่าว MCOT News FM 100.5