ราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 21 / 2552 “ 6 ปี วิกฤตชายแดนใต้ แก้ปัญหาถูกทางจริงหรือ? “

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ร่วมกับ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
ขอเชิญสื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์   วิทยุและโทรทัศน์   เข้าร่วมฟังการเสวนาในกิจกรรม
ราชดำเนินเสวนา   ครั้งที่  21 / 2552
“ 6 ปี วิกฤตชายแดนใต้  แก้ปัญหาถูกทางจริงหรือ? "

วันจันทร์ที่  28  ธันวาคม  2552      เวลา   09.00  - 11.00   น.
ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล    ณ  สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย        ถนนสามเสน   (ตรงข้าม รพ.)  กรุงเทพฯ
วิทยากร                         
สุเทพ  เทือกสุบรรณ

รองนายกรัฐมนตรี  ฝ่ายความมั่นคง
พล.อ. อนุพงษ์   เผ่าจินดา
ผู้บัญชาการทหารบก
ผู้ดำเนินรายการ
ประดิษฐ์  เรืองดิษฐ์

เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

ราชดำเนิน 6 ปีวิกฤตใต้
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับโต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา จัดราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 21/2552 หัวข้อ “วิกฤตชายแดนใต้ แก้ปัญหาถูกทางจริงหรือ?” เมื่อวันที่จันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2552 โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นวิทยากร


นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง

นายสุเทพ กล่าวว่า ในส่วนของรัฐบาล ตอนที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ได้วางนโยบายชัดเจนถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าต้องนำเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างจริงจัง นั่นคือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา



“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา รัฐบาลจะทำให้เป็นแนวทางที่สำคัญแล้วให้เห็นจริง อย่างที่รัฐบาลบอกว่าจะต้องเอาการเมืองนำการทหาร รัฐบาลบอกว่าต้องมีแผนพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ จากแผนพัฒนาใน 3 จังหวัด กับ 4 อำเภอ มาเป็นแผนที่คลุมทั้ง 5 จังหวัดภาคใต้ คือรวมเอา จ.สตูล และ จ.สงขลา ด้วย เพราะไม่ต้องการให้เกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำของพี่น้องที่อยู่ใกล้เคียง เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมทั้ง 5 จังหวัดนั้นมีลักษณะเป็นอย่างเดียวกัน จึงเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นแผนเดียวกัน”

“รัฐบาลได้กำหนดทิศทางอย่างนี้ โดยได้กำหนดคนที่จะทำงานเรียกว่าคณะกรรมการคณะรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มี 18 คน โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ผมเป็นรองประธาน และมี่รัฐมนตรีอื่นๆทั้งสาธารณสุข กลาโหม มหาดไทย เลขาสภาพัฒน์ฯ สำนักงบประมาณ เป็นต้น มาดูว่าแผนพัฒนา 5 จังหวัดชายแดนใต้จะต้องทำอะไรก่อนหลัง อย่างไร วิธีการอยู่ที่คณะกรรมการชุดนี้ โดยแต่งตั้งชุดอนุกรรมการเร่งรัดแผนทั้งหลาย ซึ่งมีผมเป็นประธาน และนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองประธาน ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.) เป็นเลขาฯ แล้วลงมือทำแผน โดยมีเป้าหมาย 2 อย่าง”

นายสุเทพ กล่าวว่า เป้าหมายที่ 1 คือ การพัฒนาในส่วนงานยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน อาทิ น้ำดื่ม น้ำใช้ สุขภาพอนามัยประชาชน สถานีอนามัย โรพยาบาลอำเภอ จังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ การศึกษาปอเนาะ การศึกษาระดับประถม มัธยม มหาวิทยาลัย เป็นต้น เพื่อให้คนในจังหวัดชายแดนใต้ได้รับการบริการจากรัฐอย่างมีมาตรฐาน ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น รวมไปถึงเสรีภาพ ธรรมเนียม วัฒนธรรม ที่ตอบสนองความเป็นพื้นที่เฉพาะ
เป้าหมายที่ 2 คือ เน้นตรงที่ครอบครัวของประชาชน โดยตั้งใจให้คนที่อยู่ในพื้นที่ 5 จังหวัดมีรายได้ดี

“ดีขนาดมั่นใจว่าดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีรายได้เลี้ยงครอบครัวให้มีความสุข ปฏิบัติศาสนกิจทั้งหลายได้ครบถ้วน ลงรายละเอียดที่ว่าถ้าให้ประชาชนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีครอบครัวต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.2 แสนบาทต่อปี”

“นี่เป็นครั้งแรกที่เอาตัวเลขมาตั้งเป้าพัฒนา ให้คนที่จนที่สุดต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.2 แสนบาทต่อปี แล้วมากำหนดแผนคิดวิธีการปฏิบัติ เราพูดถึงประชาธิปไตยอย่างมีส่วนร่วม แผนพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ เราเอาหลักการมาใช้ ให้ประชาชนมีส่วนในการคิด ส่วนร่วมปฏิบัติ เราใช้กระบวนการประชาคมของประชาชน ใช้ประชาคมตั้งแต่คัดเลือกนโยบาย ไม่เอากำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนคิด แต่ให้ประชาชนเป็นคนคิดเอง เรากำหนด 696 หมู่บ้าน แล้วให้จัดประชาคมในหมู่บ้าน มีแกนหลักที่เรียกว่า 4 เสา คือ ผู้นำศาสนา ผู้นำธรรมชาติ กำนันผู้ใหญ่บ้าน และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เรามั่นใจว่าเมื่อมีโต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามอยู่ในที่ประชุมของประชาชน ผลสรุปต้องออกมาเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้”

โดยนายสุเทพ กล่าวอีกว่า ขั้นตอนการหาคนจน จะให้คนทั้งหมู่บ้านนี้ ประชาคมจะเป็นลงความเห็นว่าใครควรจะได้รับการยกฐานะขึ้นมา เป้าหมายนี้ประชาคมจะส่งเรื่องมาว่ารัฐบาลต้องช่วยอะไรบ้าง เช่น บ้านต้องสร้าง ต้องซ่อม ก็ให้ประชาคมนั้นตัดสินใจ แล้วเอาเงินไปให้  เพื่อชาวบ้านมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ

“เป้าหมายที่ 2 ให้ประชาคมร่วมกับเป้าหมายค้นหาว่ามีศักยภาพความพร้อมในการทำอาชีพอะไร ถ้าต้องการจะทำเกษตร เราก็มีเมนูให้เลือกหลายอย่าง เช่นทำนา ปลูกยาง ทำสวนปาล์ม แล้วประชาคมมาบอกว่าอยากให้รัฐสนับสนุนอะไร ช่วยอะไร เพื่อให้มีรายได้ 1.2 แสนบาทต่อปี หรืออยากเลี้ยงไก่ แพะ ปลา ทำเกษตรผสมผสาน ก็ให้ชาวบ้านเลือกเอง จะทำปศุสัตว์ หรือสวนปาล์ม ให้ประชาคมกับเจ้าตัวมานั่งคุยกัน เป้าหมายคือเอาชาวบ้านเข้ามา แล้วเราตั้งงบประมาณเข้าไป เพื่อให้มีรายได้ 1.2 แสนบาทต่อปีแน่นอน”

“ขณะนี้ 696 หมู่บ้าน เราได้ตรวจทานตัวเลขทั้งของประชาคมจังหวัด คณะกรรมการคณะรัฐมนตรีใต้ฯ ซึ่งปี 2553 จะเริ่มเดินแล้ว ผ่านประชาคม 2-3 รอบแล้ว เริ่มปฏิบัติแล้ว อาชีพทั้งหลายก็เริ่มปฏิบัติแล้ว ส่วนที่มีปัญหาตอนนี้อยู่ที่คน 2 ชุด เราก็จะหาอาชีพเกษตรกรรมให้ทำ คนชุดแรกคือ เยาวชนหญิงชาย ที่ทางกองทัพ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในส่วนหน้า (กอ.รมน. ส่วนหน้า) รับเข้ามาให้แนวทาง เรียกว่าโครงการทำดีมีอาชีพ เพราะไม่ต้องการให้เยาวชนหลงผิดเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้ก่อการ เด็กกลุ่มไหนสามารถรวมตัวกันได้ 10 คน เราก็จะให้ทำฟาร์มขนาดใหญ่ อาจจะเลี้ยงไก่เนื้อ ไก่ไข่”

“บางส่วนที่เป็นปัญหาคือ ไม่มีที่ดิน ไม่มีศักยภาพที่จะประกอบอาชีพเกษตร และไม่สามารถเข้าไปอยู่ในภาคเกษตรกรรมได้ ฝ่ายราชการกำลังดำเนินการอยู่ เหมือนต้นกล้าอาชีพ ให้กระทรวงแรงงานเข้าไปฝึกอาชีพ สนับสนุนให้มีเครื่องมือประกอบอาชีพ อาจจะเป็นช่างยนต์ อิเลคทรอนิกส์ ช่างไฟฟ้า ก่อสร้าง กลุ่มนี้ยังต้องใช้เวลาดำเนินการ คาดว่าก่อน 30 กันยายน 2553 กลุ่มนี้จะลงตัว”

นายสุเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ เพิ่ฝมียุคนี้ ปีนี้ที่ผู้บริหารคนสำคัญของบ้านเมืองลงพื้นที่ถี่ยิบ เป็นพิเศษ

“ทูตานุทูต หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศก็ลงไป น่าจะเป็นหลักฐานที่บอกได้ว่าสถานการณ์ดีขึ้น เราเดินมาถูกทาง ประชาชนมีความรู้สึกที่ดีต่อรัฐบาลไทย ตั้งแต่มีนายกฯอภิสิทธิ์ เราได้กำหนดชัดเจนว่าเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนา เอาชนะจิตใจพี่น้อง ไม่ให้ไปนิยมชมชอบเห็นดีเห็นงามกับกลุ่มผู้ก่อการ เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ลงไปปฏิบัติงานเป็นการเข้าไปปกป้องไม่ใช่เข่นฆ่า เราแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยกฎหมาย น่าจะเป็นยุคเดียวในขณะที่มีเหตุการณ์บ้านเมือง กองทัพกับการเมืองทำงานร่วมกันอย่าวมีเอกภาพ เดินหน้าร่วมกันไปสอดคล้อง”         

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก
“การเมืองนำการทหารเป็นความเด่นชัดของรัฐบาลมาตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เป็นของรัฐบาลอื่นๆ มีการเตรียมแผนให้ออกผลมีรูปธรรมมากที่สุด”

“ผู้ก่อการเป็นผู้ที่ทำผิดกฎหมายแล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งผิดกฎหมาย การดำเนินการของกลุ่มดังกล่าวจุดประสงค์ใหญ่ที่ต้องทำอย่างนั้นคือประชาชนที่เราถือว่าเป็นกลุ่มคนส่วนมาก กลุ่มผู้ที่ก่อการนั้นเป็นส่วนเล็ก มุ่งไปทั้งหมดในจังหวัดชายแดนใต้ ดำเนินการในด้านการเมืองทั้งในและต่างประเทศ การเมืองระดับสูงและท้องถิ่น ใช้ยุทธศาสตร์ก่อการร้าย ความไม่สงบ ยุทธศาสตร์แบบกองโจร ตรงนี้เราจะแก้อย่างไร ถ้าจะรักษาพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ให้อยู่ในราชอาณาจักรไทย มีคนอยู่ประมาณ 2 ล้านคนในพื้นที่ แล้วจะทำอย่างไร หากต้องการชนะทางจิตใจ การเมืองนำการทหารคือใช้การเมืองลงไปแก้ ให้ชาวบ้านเกิดความพึงพอใจ การเมืองแก้ปัญหาในทุกมิติ”

“ที่มีการกล่าวว่ายังไม่พึงพอใจในการแก้ปัญหา ต้องจำไว้ว่าการใช้การเมืองไปนำนั้น ต้องใช้เวลานาน ไม่สามารถทำให้จบได้ภายในวันเดียว การทำให้คนเปลี่ยน ทำให้คนรักโดยไม่ใช้ความรุนแรง การชนะจิตใจได้นั้นต้องใช้เวลา นี่คือการแก้ไขในจังหวัดชายแดนใต้”
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ 2 ล้านคน เป็นเป้าหมายในการชนะจิตใจ ส่วนคนกลุ่มเล็กที่ก่อความไม่สงบต้องว่ากันตามยุทธวิธี

“เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งก่อเหตุรุนแรง เราทำสิ่งแรกคือนำกำลังพยายามหาผู้ที่เป็นแนวร่วมมาฝึกอาชีพ สร้างความเข้าใจ อย่างที่สองคือ ใช้การข่าว นิติวิทยาศาสตร์ การสือบสวนสอบสวน ดำเนินการตามกฎหมาย และ 3 ปิดล้อมจับกุม ทหารทำได้แค่นี้ เราไม่เคยกวาดล้าง ภารกิจทหารและการเมืองอยู่ในพื้นฐานสมานฉันท์ “
ผบ.ทบ. ยังให้ข้อมูลอีกว่า พื้นที่ดูแล 1,971 หมู่บ้าน 1 ฐานทหารดู 2-3 หมู่บ้านคิดเป็นจำนวน 2 พันกว่าอีเวนต์ต่อวัน ตรงใดที่ทหารเข้าไปดูแลได้ดี ทางผู้ก่อการไม่ได้เข้าไปก่อเหตุ แต่ทั้งนี้ยอมรับว่าทหารไม่สามารถดูแลได้อย่างละเอียดทุกพื้นที่

“ให้เราดูทุกๆเสาไฟฟ้า ผมเรียนว่าเราทำไม่ได้ เราทำได้คือพยายามทำให้คนส่วนเล็กๆต้องไม่โต และคน 2 ล้านคนต้องไม่เสียสมดุล ถ้าเราไปทำรุนแรงกับคนเล็กๆ ก็ไม่มีใครยอม องค์กรต่างประเทศจะเข้ามา เราจะเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์ เหมือนคนรอรถอยู่ที่รถเมล์ ยังมีผู้ร้ายฉุดไปข่มขืนด้านหลัง ถามว่ามีตำรวจไหม ก็มี สายตรวจก็มี แต่โจรทำในช่วงที่ไม่มีตำรวจ ถ้าจะให้ตำรวจไปคุมทุกป้ายรถเมล์ โจรก็เข้าไปก่อเหตุในซอย”

“เอาสถิติมาดู ทุกฐานข้อมูลผมยืนยันได้ว่าลดลง ถามว่าจากนี้จะลดลงไหม ถ้าเราป้องกันได้มาก เขาก็จะสร้างเหตุการณ์ได้น้อย เช่นเหตุเกิดระเบิดที่คาราโอเกะตอนตี 2 ก็เป็นช่วงที่ทหารเคลื่อนกำลังไปเฝ้าตลาดสด เพื่อไม่ให้ตลาดเกิดระเบิด แต่ก่อนหน้านั้นเราไปเฝ้าคาราโอเกะช่วงเย็นที่มีคนเข้าไปใช้บริการเยอะแล้ว”
“เมื่อก่อนเจ้าหน้าที่เข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านออกมาโห่ไล่เจ้าหน้าที่ นี่คือจุดสมดุลที่ผมบอกใน 2 ล้านคน ถ้าเราเข้าไปในหมู่บ้านแล้วถูกโห่ไล่ ท่านจะลำบาก ท่านจะให้ทหารไปปราบคน 2 ล้านคนอย่างนั้นหรือ”

“ผมประเมินเชิงคุณภาพ ขณะนี้ประชาชนอยู่กับเรา องค์กรโอไอซี (องค์กรมุสลิมโลก) ตำหนิเราไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ใช้วิธีเข่นฆ่าประชาชน ไม่ใช่นโยบาย หากพบผู้บังคับบัญชาต้องลงโทษ ปกป้องไม่ได้ ผมเรียนว่าเรามีจิตใจที่เต็มเปี่ยม มหารอยู่กับประชาชน 365 วัน อยู่กับคน 2 ล้านคน ผมสั่งทหารทุกคนเลยว่าจีบผู้หญิงก็ไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไข”

ด้าน นายสุเทพ กล่าวเสริมอีกว่า ขณะนี้ทางองค์สิทธิมนุษยชน องค์กรต่างประเทศ และองค์กรมุสลิม เอาจริงกับเรื่องสิทธิมนุษยชน เมื่อก่อนนี้อาจจะเข้าใจสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้คลาดเคลื่อน แต่เมื่อเราดำเนินการตามนโยบายเปิดให้ทูตานุทูตลงไปในพื้นที่ทั้งองค์กรอาเซียน องค์กรมุสลิม หรือแม้แต่ในประเทศยุโรป ได้ลงไปหลายๆครั้ง ไปพบผู้นำท้องถิ่น โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม และชาวบ้านประชาชน ภาพพจน์ของประเทศไทยดีขึ้น ทั้งในสายตาของประเทศมุสลิมขนาดใหญ่อย่าง ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย

“นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย เมื่อได้ลงไปในพื้นที่ยังกล่าวกับพี่น้องมุสลิมว่า ขอให้มุสลิมภาคใต้เป็นมุสลิมที่ดี จงรักภักดีอยู่กับรัฐบาลไทย และยืนยันกับนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้เป็นเรื่องภายในของไทย ส่วนประธานาธิบดีประเทศอินโดนีเซีย ท่านบอกกับผมว่าท่านเป็นผู้ประชาสัมพันธ์ให้ประเทศไทยในโอเอซี เนื่องจากท่านได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด อธิบายให้เห็นว่าเราปฏิบัติต่อพี่น้องมุสลิมด้วยความเคารพในสิทธิมนุษยชน อีกทั้งขอให้เราจัดโปรแกรมลงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้เหมือนที่พานายกรัฐมนตรีมาเลเซียด้วย”

ด้าน ผบ.ทบ. กล่าวอีกว่า สถานการณ์จนถึงสิ้นปี มีการถามเรื่องพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ แน่นอนว่ามีคนไม่พอใจเพราะสถานการณ์ไม่จบ
“ถามผมว่าจะแก้ไขปัญหาสำเร็จหรือไม่ ท่านประเมินจากอะไร ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ท่านต้องลงไปดูในสิ่งที่ท่านทำ ท่านอย่าเขว สำเร็จได้หรือไม่ ต้องประเมินตรงนี้ เท่าที่ผมสัมผัสในรัฐบาลที่ผ่านมาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รัฐบาลสมาชาย วงศ์สวัสดิ์ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ไม่มีรัฐบาลไหนทำเกินกรอบนี้ นี่ยังไม่นับว่ามีคนเสนอกล่องขึ้นมากล่องหนึ่ง บอกให้ปกครองตนเองแล้วจะจบ ไม่มีการก่อเหตุ 1.เรายังไม่รู้เลยว่ากล่องนั้นข้างในมีอะไร และ 2.นี่หรือที่เขาต้องการ”

หลังจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และ ผู้บัญชาการทหารบก ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงหลักการในการแก้ปัญหาในปีหน้า และกรณีเงิน 6.3 หมื่นล้านบาทที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ตั้งใจไว้ว่า

“สถิติมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตลดลง ในปีหน้าหลักการจะไม่เปลี่ยนแปลง มั่นใจว่าที่เราตัดสินใจมา 8 เดือน เสียงสะท้อนจากชาวบ้านเป็นกำลังใจให้เรา มหาร ตำรวจ เข้าใจแผนของเรา แนวทางของรัฐบาลประชาชนเข้าใจ ไม่นับว่าข้าราชการพลเรือนที่เข้าใจการทำงานอยู่แล้ว หลักการในปีหน้าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แผนพัฒนาที่ตั้งเป้าหมายไว้ จะเร่งรัดให้เร็วขึ้น” นายสุเทพ กล่าวและว่า

“บอกว่าไม่มีรูปธรรม ผมเพิ่งแต่งตัวเอง ถามว่ามีคนจนกี่ครอบครัว ที่ช้าก็เพราะไม่เคยมีการรวบรวมก็เลยช้า คนที่อยากทำการเกษตร เราคาดว่าน่าจะมีคนอยากทำสวนปาล์มมาก ก็กลายเป็นว่าชาวบ้านไม่ชอบ บางคนคนอยากทำนา อยากปลูกยาง นี่ก็ต้องกลับมารื้อแผนงบประมาณกันใหม่ บางคนอยากทำนาแต่มีที่ดินแค่ 5 ไร่ ไม่สามารถทำให้มีรายได้ถึง 1.2 แสนบาทต่อปี เราก็ให้ผู้มีความรู้ลงไปอธิบายว่าต้องมีการทำเกษตรผสมผสาน มีการเลี้ยงไก่ เลี้ยงวัวด้วย อย่างนี้เป็นต้น”
ในขณะที่ ผบ.ทบ. ชี้แจงว่างบ 6.3 หมื่นล้านบาทนั้น เพิ่งเริ่มอนุมัติใช้เมื่อเดือนตุลาคมปี 2552 นี้เท่านั้น และขณะนี้มีเงินลงไปในพื้นที่ 1.8 หมื่นล้านบาท จะให้สำเร็จภายในวันเดียวไม่ได้

“6.3 หมื่นล้านบาทนั้น ใช้ถึงปี 2555 คนไม่เข้าใจ นี่เพิ่งจะเริ่มใช้เดือนตุลาคม ยังลงไปไม่เท่าไร ต้องลงไปตามงวด มีขั้นตอน สำรวจความต้องการให้ตรงกัน ที่วิจารณ์ว่าลงไปมากไม่ได้ผลอะไร ก็เพราะมันยังไม่ได้ลงไป 1.8 หมื่นล้านบาทนั้นเพิ่งได้ใช้อยู่เดือนแรกเท่านั้น”
“ที่บอกว่ายังเกิดเหตุ ทหารมียุทธศาสตร์ทำอย่างไรจะชนะจิตใจ หากไม่มีหลักฐาน ไม่ถือปืนต่อหน้า จะไปกวาดล้างไม่ได้ เรื่องบอลลูน ลาดตระเวน และกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เราจะใช้ทั้งหมด จะทำให้ดีขึ้น สถิติก็ยังนิ่งถ้าลดกว่านี้ได้ ก็จะทำ จะมีการปรับเปลี่ยนวิธี”

“ถามว่ามั่นใจกลไกทางการเมืองกี่เปอร์เซ็นต์ ท่านไม่มีทางเลือก ที่ท่านนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียบอกว่า ถูกต้องแล้วที่จะชนะจิตใจ Win Heart Mind ผมก็ต้องมั่นใจว่าจะชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่จะให้ชนะโดยทหารปราบนั้นไม่มีแน่นอน”