ประธานเนชั่นฯ เคลียร์ปม ช่องแตกหลังแม่เหล็กสถานีแท็กทีมลาออกย้ายซบ นิว 18 ยันไม่มี”นอมินีคุณหญิงคนดัง”สนใจซื้อหุ้นบริษัทฯ จนสั่งเปลี่ยนโทนข่าวให้เบาลง

ทีมข่าวเพจจุลสารราชดำเนิน รายงานความเคลื่อนไหวในแวดวงสื่อสารมวลชน ที่อยู่ในความสนใจของหลายฝ่าย หลังผู้ประกาศข่าวชื่อดังหลายคนของเนชั่นทีวีและกองบรรณาธิการข่าว-ผู้บริหารธุรกิจสื่อในเครือเนชั่น ส่วนหนึ่ง ลาออกจากบริษัทพร้อมกันหลายคนในเวลาไล่เลี่ยกัน เช่น เจ๊ปอง-อัญชะลี ไพรีรัก กับ สันติสุข มะโรงศรี สองผู้ดำเนินรายการข่าว -นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม โดยส่วนใหญ่ย้ายไปอยู่กับ ช่องนิวทีวี 18 และมีข่าวว่า ผู้ประกาศข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวอีกบางส่วนเช่น นายกนก รัตน์วงศ์สกุล นายธีระ ธัญไพบูลย์ ก็อาจจะยกทีมลาออกด้วย

โดยมีรายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน ) ได้นัดชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นกับธุรกิจสื่อในเครือเนชั่น ฯ กับสื่อบางส่วน ท่ามกลางกระแสข่าวต่างๆ ที่มีการโยงไปถึงสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมทางการเมืองในเวลานี้

ประเด็นหลักๆ ในการพูดคุยดังกล่าว ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ปฯ ย้ำหลายครั้งว่า การลาออกของผู้ประกาศข่าว-ผู้ดำเนินรายการของเนชั่นทีวีในช่วงนี้ ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งในเรื่องการนำเสนอข่าวที่ไม่ตรงกัน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์การเมืองในช่วงนี้ แต่เป็นเรื่องการลาออกที่เป็นเรื่องปกติทางธุรกิจที่มีคนเข้าคนออก แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับองค์กร และเวลานี้ ก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะมีการทาบทามคนนอก มาร่วมงานกับเนชั่นทีวีฯ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป

"การที่คนจะเข้าหรือออก เป็นเรื่องการปรับเปลี่ยน ที่เป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ ปีนี้เป็นปีที่ 49 ขององค์กรนับแต่ก่อตั้งเครือเนชั่น ปีหน้า 2563 บริษัทก็จะเข้าสู่ปีที่ 50 ของการดำเนินการ ก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ต้องผ่านอะไรมากมาย องค์กรขายความน่าเชื่อถือ ไม่ได้ขายดาราหน้ากล้อง เราขายคอนเทนต์ ขายความรับผิดชอบต่อสังคม ขายข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือต่อสังคม"ฉาย บอกไว้

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ปฯ ยอมรับว่า ตอนที่ผู้ประกาศข่าวบางคนที่ลาออกเช่น อัญชะลี ไพรีรัก มายื่นใบลาออก ก็มีการไปนั่งพูดคุยด้วย ส่วนตัว ก็มีความเคารพ มีความรักใคร่กันเป็นส่วนตัว ตอนคุยก็ไม่ได้ถามอะไรกันเยอะ เราก็เข้าใจกัน การจากไป ก็อาจกลับมา เพราะรอบนี้ถือว่า น.ส.อัญชลี อยู่เนชั่นรอบนี้เป็นรอบที่สอง เพราะเขาเคยทำงานที่เครือเนชั่นมาก่อนหน้านี้แล้ว ก็เป็นเรื่องปกติจริงๆ

"เราไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะยังรักพี่ปอง-สันติสุขเหมือนเดิม ทั้งสองคนก็ยังอยู่จนถึง 30 พ.ย. ส่วนคนอื่นๆ ก็มี เช่น สถาพร เกื้อสกุล พิธีกรรายการ เนชั่นเจาะข่าวเย็น ที่ลาออกด้วยเช่นกัน ขณะที่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล นาย ธีระ ธัญไพบูลย์ ยังไม่มี ทั้งสองคน ก็ยังเป็นพนักงานขององค์กรอยู่ ไม่รู้เรื่องข่าวลือ ข่าวลือมันเยอะจากผู้ไม่ประสงค์ดี เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ก็เป็นวันเกิดนายกนก ก็ไลน์ไปสุขสันต์วันเกิด ก็ยังเป็นพนักงานอยู่ ยังไม่มีเอกสารยื่นใบลาออก ทุกคนยังทำงานตามปกติ ขณะที่นายสนธิญาณ ก็เป็นบุคคลที่ผมรักและเคารพเสมอ"ฉาย ย้ำ

ประธานเครือเนชั่นฯ บอกว่า ไม่ปิดโอกาสในการจะพูดคุยกับผู้ประกาศ หรือผู้จัดรายการข้างนอก เมื่อมีคนออกไป ก็ต้องมีคนเข้ามาบ้าง เราก็ดูอยู่ว่าใครที่เหมาะสม ซึ่งสัปดาห์หน้า จะมีการประชุมกรรมการบริษัท ก็จะมีการสรุปอีกครั้ง

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ฯ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ด้วยว่า ไม่รู้ว่าคนที่พูดหวังผลอะไร โดยที่บริษัทเราอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราไม่มีปัญหาหนี้สิน เรามีเงินสดเข้าทุกวัน แน่นอนเราอาจกระทบบ้างจากภาวะเศรษฐกิจ การแบนโฆษณา แต่ไม่ได้ทำให้องค์กรกระทบ ยืนยันว่าเราไม่มีนโยบายจะเลิกจ้างพนักงานในเครือ เรามองไปถึงการจ่ายโบนัสพนักงานในปีนี้ด้วยซ้ำ คนปล่อยข่าวเป็นผู้ไม่หวังดี ข่าวลือก็คือข่าวลือ คนก็ถามผมเยอะ เรื่องข่าวลือต่างๆ เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ซึ่งวันนี้ผมก็เห็นว่ามันมากเกินไป

เมื่อถามถึงข่าวลืออาจจะมีพวกนักการเมืองเข้ามาถือหุ้นในบริษัท นายฉาย ตอบว่า จะเป็นไปได้อย่างไร อย่างเนชั่นทีวี ก็ถือหุ้นใหญ่โดยเนชั่นมัลติมีเดียฯ ถือไว้ 70 เปอร์เซนต์ แล้วหุ้นบริษัทเนชั่นฯ ตอนนี้ยังไม่มีการซื้อขาย แล้วมันจะเปลี่ยนมือได้อย่างไร ผมก็ยังอยู่ ผู้ถือหุ้นให้ผมเข้ามาบริหารจัดการ ก็ไม่เคยได้รับแจ้ง ยังไม่มีการเปลี่ยนมือ ก็ได้ยินว่าข่าวลือ ก็มาจากผู้มีชื่อเสียงในสภาฯ เขาก็ควรระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ ใครจะปล่อยข่าวอะไรก็ต้องระมัดระวัง เพราะเป็นการทำลายกัน

ถามถึงว่ามีข่าวลือที่ว่ามีคุณหญิง คนดัง จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท นายฉาย แจงว่า มันเป็นไปไม่ได้ไม่ทราบเรื่องผู้ถือหุ้น แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง และโครงสร้างผู้ถือหุ้น ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็มีเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ไม่ใช่สัดส่วนใหญ่ของบริษัท เป็นเรื่องของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่ใช่หุ้นใหญ่เปลี่ยนมือ

ถามย้ำว่า เป็นไปได้ไหม จะมีนอมินีเข้ามา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ตอบว่า"ไม่มี "

และกล่าวอีกว่า"ใครที่บอกว่าเนชั่น เราจะเจ๊ง ขอให้กลับไปดูตัวเองเสียก่อน เลวมากพวกปล่อยข่าวลือทั้งหลาย การปล่อยข่าวลือต่างๆ ช่วงนี้เป็นเจตนาร้าย เป็นการไม่หวังดี เป็นการกลั่นแกล้งกันทางธุรกิจ คำพูดผมอาจไม่เพียงพอ แต่ทุกอย่างจะปรากฎอยู่หน้าจอที่จะต้องเห็นต่อไปในอนาคต"

ที่ผ่านมา ก็มีการปล่อยข่าวกันเยอะ ยืนยันเครือเนชั่นมีความแข็งแรงทางธุรกิจ สิ้นปีนี้เรามีเงินสดอยู่กว่าเกินกว่าร้อยล้านบาท เราทำข่าวแล้วมีผลกำไรมากที่สุดองค์กรหนึ่งของประเทศ ใครจะอยู่จะไปเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ เราไม่ได้มีหนี้สินมากเหมือนก่อน เราเคลียร์ปัญหาต่างๆ จบแล้ว ที่ผ่านมา ธุรกิจในเครือไม่ได้มีผลกระทบจากโควิดเลย อาจมีกระทบบ้างกับการทำทัวร์ การจัดอีเวนต์ แต่เรื่องโฆษณาเราไม่ได้รับผลกระทบเลย

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเนชั่นฯ ยังกล่าวถึง เสียงวิจารณ์เรื่องการเสนอข่าวของสื่อในเครือเนชั่น ไม่มีความเป็นกลาง จนก่อนหน้านี้มีการมาชุมนุมกันที่ด้านหน้าฝั่งออฟฟิศตึกเนชั่นฯด้วยว่า หากสื่อในเครือนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน ประชาชนสามารถใช้กฎหมายดำเนินการฟ้องร้องได้ ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมก็ไม่เคยฟ้องร้องอะไรเรามีแต่วาทกรรมต่อว่าเราอย่างเดียว ว่าเราบิดเบือน แต่ถามว่าบิดเบือนยังไง ก็ว่ามา มีแต่วาทกรรม ยืนยันว่านโยบายของเราคือไม่ต้องการให้สังคมอยู่ในภาวะเผชิญหน้าหรือมีความเกลียดชังกันจากคณะกรรมการบริษัท แต่ในสถานการณ์ที่เปราะบาง เราก็จะระมัดระวังให้มากขึ้น เราก็มีการประเมินตัวเราเองตลอด ก็มีการพูดคุยกันตลอดกับกองบรรณาธิการในเชิงของนโยบาย ก็มีการเตือนกันตลอดเวลา แต่ไม่ใช่ว่าเพราะกองบรรณาธิการทำอะไรผิด แต่เราก็มีการพูดคุยกันตลอดเวลา เพราะเราต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เราต้องดูว่าสิ่งที่นำเสนอไปเหมาะสมหรือไม่ เป็นคุณเป็นโทษหรือไม่ กับสถานการณ์ต่างๆ ก็มีการรับฟังเสียงสะท้อนต่างๆ ก็ขอบคุณที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมมาชุมนุมที่บริเวณด้านหน้าบริษัทโดยสงบ เรารับฟังทุกความเห็น ก็รับฟังแล้วเราก็มาดู ไม่ใช่ว่าเราเมินเฉย เราไม่ได้มองว่าผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เราไม่สนับสนุนการจาบจ้วงสถาบันฯ

ส่วนโทนการเสนอข่าวของเครือเนชั่นต่อจากนี้ ที่ถูกมองว่าอาจเปลี่ยนแปลงไป ว่า อุดมการณ์ยังเหมือนเดิม การทำหน้าที่เรายังเหมือนเดิม แต่เราจะระมัดระวังในการทำหน้าที่เพิ่มขึ้น แต่ยืนยันได้ว่า องค์กรยึดมั่นในการปกป้องสถาบันหลัก คือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันนี้ไม่เป็นกลางเพราะเป็นหน้าที่ของคนไทย หน้าที่องค์กรเรา หากจะบอกว่าการปกป้องสถาบัน คือความไม่เป็นกลาง ก็ไม่รู้จะแปลว่าอะไร