เจาะเบื้องลึก แก๊งนักธุรกิจจีนสีเทา กับช่องโหว่กฎหมายไทย

  “กลุ่มนายทุนจีนสีเทา ที่เข้ามาดำเนินการในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าบางรายอยู่ประมาณ 10 - 20 ปี  หรือบางราย 2-3 แหล่งที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น  เครือข่ายญาติของเขามาปักหลัก อยู่ที่เมืองไทยเลย” 

            

กลุ่มธุรกิจสีเทาที่ทำเงินในประเทศไทย จำนวนมหาศาลมีมาตั้งแต่อดีต หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ในเมื่อธุรกิจนี้เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ทำไมปัจจุบันยังคงดำเนินอยู่ได้  ขณะที่หลายคนเติบโตมาจากธุรกิจนี้ได้จนรวยอู้ฟู่เป็นกอบเป็นกำถึงขั้นระดับมหาเศรษฐี

            “พรทิพย์  โม่งใหญ่” บรรณาธิการข่าวเฉพาะกิจ Workpoint TV” วิเคราะห์เจาะลึกถึงเบื้องหลังธุรกิจดังกล่าว ใน “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ว่า กระบวนการแก๊งนักธุรกิจจีนสีเทาทั้งหมด สืบเนื่องมาจากทัวร์ศูนย์เหรียญปรับเปลี่ยนทั้งพฤติกรรม และธุรกิจของตนเอง ทั้งสถานบันเทิง เปิดบริษัททำธุรกิจสายสีเทาให้สอดรับกับภาวะที่จะ Disruption หลังจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้ประเทศจีนไม่สามารถส่งนักท่องเที่ยวมาไทยได้  

            คนกลุ่มนี้จะใช้เงินสดจำนวนมาก ซื้ออาคาร บ้าน หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อดำเนินธุรกิจ มีประวัติการเดินทางเข้า-ออก ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านของไทยด้วยหลายครั้ง เช่น ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ในกรณีปลอมแปลงบัตรประชาชน โดยคนที่เป็นเจ้าของบัญชีอยู่แถวภาคเหนือ

            สันนิษฐานกันว่าน่าจะเชื่อมโยงกับกระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกให้คนไทยโอนเงินหรือแชทเข้าระบบ โดยพฤติกรรมและจุดที่ต้องสงสัย เป็นบ่อนกาสิโน มีอาคารตึกร้าง แต่ความคืบหน้าของการตรวจสอบความเชื่อมโยง ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานกับตำรวจของแต่ละประเทศในการตรวจปลายทางด้วย คาดว่าสัปดาห์นี้จะเห็นความชัดเจน ว่าเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจสถานบันเทิงสีเทาอย่างไร

            “กลุ่มนายทุนจีนสีเทา ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าบางรายอยู่ประมาณ 10 - 20 ปี หรือบางราย 2-3 แหล่งที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น เครือข่ายญาติของเขามาปักหลักอยู่ที่เมืองไทยเลย อย่าลืมว่าประเทศจีนเรื่องเกี่ยวกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือการเช่าระยะยาวไม่สามารถครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ขณะที่ประเทศไทยมีกฎหมายก็จริงว่าห้ามชาวต่างชาติครอบครองที่ดิน แต่มีกลุ่มคนไทยที่เอื้อประโยชน์ เป็นผู้สนับสนุนธุรกิจเป็นนอมินี”   

            ส่วนกรณีว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐปิดหูปิดตา ออกเอกสารสิทธิ์ให้หรือไม่นั้น ตรงนี้ได้มีการตรวจสอบว่าใช้ช่องว่างของกฎหมาย ทั้งกฎหมายที่ดิน กฎหมายการเปิดบริษัทต่างด้าว เป็นช่องทางที่จะใช้ประเทศไทย เป็นที่แสวงหาผลประโยชน์หรือไม่ ตรงนี้ทุกหน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือกระทรวงพาณิชย์ปล่อยให้มีการจดทะเบียนบริษัทแล้วไม่ได้ตรวจสอบหลายปี ต้องกลับไปทบทวนเหมือนกัน
             รวมถึงกลุ่มที่เข้ามาท่องเที่ยวด้วย ข้อมูลนี้เรื่องแตกเพราะมีนักท่องเที่ยวหญิงชาวจีนเสียชีวิตในสถานบันเทิงจากเสพยาเสพติด ครอบครัวของหญิงคนดังกล่าว ไม่ทราบสาเหตุว่าลูกสาวเสียชีวิตเพราะอะไร จึงมาร้องเรียนสถานทูตจีน  และประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบพบว่าเป็นการเสพยาเกินขนาดในสถานบันเทิง
            เจ้าหน้าที่ตำรวจขยายผลปรากฏว่า กลุ่มคนจีน ซึ่งเป็นลูกน้องของผับดังกล่าว ไปรื้อค้นทรัพย์สินผู้ตายในโรงแรมแล้วนำไปเผา  ซึ่งผิดปกติวิสัยเมื่อสืบกันไปมาได้ขยายผลออกเป็น 5 แห่ง จากนั้นจึงมีการดำเนินการจับกุม ซึ่ง 5 กลุ่มนี้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ บอกว่าเป็นรายใหญ่ แต่ความจริงแล้วในประเทศไทยมีมากกว่านั้น แต่ที่เปิดเผยข้อมูลและเชื่อมโยงกันอยู่ ประมาณ 5 ราย และมีขนาดกลางอีกประมาณ 30 -40 แห่ง แล้วก็มีขนาดเล็กอีกประมาณ 100 - 200 แห่ง
            การที่กลุ่มธุรกิจสีเทา เข้ามาดำเนินการในประเทศไทยได้นั้น คงต้องตั้งคำถามว่าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้กฎหมายมากน้อยแค่ไหน ทำไมถึงปล่อยให้มีการเปิด สถานบริการสถานบันเทิงที่ไม่ได้รับอนุญาต มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติได้อย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านภาษี หน่วยงานท้องถิ่น สำนักงานเขตหรือสรรพากร ปล่อยให้มีสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร

             ไม่มีการตรวจสอบหรือเพราะแต่ละท้องที่ต้องจ่ายภาษีและมีใบอนุญาตแต่หน่วยงานไม่รู้  ทำไมปล่อยละเลยให้เรื่องบานปลายมีผู้เสียชีวิตจนกระทั่งประเทศจีนตีข่าวว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนจีนมา และมาเสียชีวิตในประเทศไทย เหมือนแผลถูกเปิดกว้าง เมื่อเปิดแล้วก็ต้องขยายผลออกไป

            ยกตัวอย่าง เช่น โรงงานซึ่งดิฉันติดตามทำข่าวมาเป็นบริษัทของคนจีนซึ่งไปประมูลงานกับหน่วยงานรัฐเป็นเวลาหลายปี โดยขอจัดตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2543 ในช่วงแรกถือหุ้นกับคนไทยตามสัดส่วน 49% แต่ไม่กี่ปีมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจากคนไทย 49% ก็ลดลงเรื่อย ๆ 

ภายหลังผู้ถือหุ้นเป็นคนจีน 100% แต่ได้สิทธิ์ไปประมูลงาน ถามว่าหน่วยงานรัฐได้ตรวจสอบประวัติบริษัทต่าง ๆ แล้วหรือไม่ เพราะตามกฎหมายบริษัทต่างชาติ จะไม่มีสิทธิ์ประมูลงานกับหน่วยงานของรัฐได้ แต่บริษัทนี้ประมูลงานกับหน่วยงานรัฐ ประมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านบาท ตรงนี้คือความเสียหาย ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
            “อยากจะฝากไปยังหน่วยงานภาครัฐ ขอให้แต่ละองค์กรไปตั้งคำถามกับตนเองว่า ที่ผ่านมาหลับหูหลับตาปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศไทย จนเศรษฐกิจไม่ดีถึงปัจจุบัน เพราะการเกียร์ว่างหรือไม่ จนทำให้คนจีนที่เป็นสายสีเทาเข้ามาแทรกซึมในประเทศไทยมากขนาดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อว่าเป็นเพียง 1% กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ ยังมีอีกหลายพื้นที่ ที่คาดว่าจะเจอลักษณะเดียวกัน”
            ส่วนที่การนำเสนอข่าว ของทุกสำนักหลังจากนี้ ต้องช่วยกันเปิดโปง ว่าช่องว่างของกฎหมายไหน ที่เอื้อให้ธุรกิจทุนจีนสีเทาเข้ามาครอบงำ และต้องช่วยกันตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานภาครัฐ  ว่าหน่วยงานไหนละเลย เพราะเรามีบทเรียนแล้ว 
            ทั้งนี้คงต้องจับตาดูพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล​ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งบอกกับสื่อเป็นนัยยะสำคัญว่า จะเปิดเผยการขยายผลการสอบสวนโครงสร้างคนไทยและคนจีนสายสีเทาที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทยอย่างไร ขยายเครือข่ายไปถึงใคร แต่เบื้องต้นข้อมูลที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้ไว้ คือ ตอนนี้มีกลุ่มคนจีนประมาณ 100 กว่าคน ได้หนีออกนอกประเทศไปแล้ว ทราบว่าอยู่ในเครือข่ายนี้ด้วย

ติดตาม “รายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว” ทุกวันอาทิตย์  เวลา 11.00-12.00 น.โดย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ คลื่นข่าว MCOT News FM 100.5