ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่นอกจากนำมาสู่โรคระบาดโควิด19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกแล้ว ยังนำมาสู่ภาวะการระบาดของข้อมูลข่าวสาร (Infodemic) ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือที่เรียกกันติดปากว่าข่าวลวง (fake news) เพิ่มอย่างมากมายทั่วโลกด้วย ทางองค์การยูเนสโกเคยกล่าวไว้ว่า นอกจากแพทย์ พยาบาล และ บุคลากรทางการแพทย์ ยังมีข้อเท็จจริง (Facts) ที่จะช่วยรักษาชีวิตเราไว้ได้ ดังนั้นการตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะเชื่อหรือส่งต่อจึงจำเป็นในยุคโควิด และการแสวงหาความจริงร่วมจากทุกฝ่ายให้แน่ใจก่อนที่จะยอมรับในข้อมูลข่าวสารนั้นจะช่วยรักษาพลเมืองจากโรคระบาดข้อมูลข่าวสารได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่วนซ้ำกลับไปกลับมาในแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นแบบวงปิด อีกทั้งวัฒนธรรมความเกรงใจที่ทำให้ไม่เกิดการแก้ไขท้วงติงข้อมูลที่ส่งต่อกันมาในกลุ่มเพื่อนร่วมงานหรือเครือญาติ จึงทำให้ข้อมูลลวงหรือไม่จริงเหล่านั้นวนไปมาไม่จบสิ้น เช่นในการระบาดรอบใหม่นี้ของประเทศไทย ได้มีปรากฎการณ์ข่าวลือข่าวลวงวนซ้ำไปมาอีกรอบทั้งที่มีการตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง โคแฟค ประเทศไทย (COFACT Thailand) เปิดเผยว่า โครงการนี้ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของภาคประชาสังคมเพื่อเปิดพื้นที่การใช้นวัตกรรมตรวจสอบข่าวลือข่าวลวงผ่านสื่อออนไลน์ ได้รวบรวม 5 ข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดโควิดที่วนซ้ำกลับมาอีกรอบเพื่อการรู้เท่าทันของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ดังนี้
1. "คลิปเสียงปลอม" ความยาว 1.20 นาที อ้างว่าเป็นเสียงของ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชฯ โดยมีเนื้อหา ขอความร่วมมือให้ประชาชนคนไทยทุกท่าน ล็อคดาวน์ ที่มีการส่งต่อกันอย่างแพร่หลายข้ามปี จนทำให้ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ต้องออกแถลงการชี้แจงว่า คลิปเสียงดังกล่าว ไม่ใช่เสียงของ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จึงขอความร่วมมือทุกท่านอย่าแชร์ อย่าโพสต์คลิปเสียงกันอีก เพราะไม่ใช่เสียงจริง
2. การดื่มน้ำมะนาวฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ : หลายคนอาจเคยได้ยินวลี “มะนาวโซดาฆ่ามะเร็ง” ที่หมายถึงยุคหนึ่งเคยมีการส่งต่อข้อมูลบนโลกออนไลน์ว่าการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำโซดาสามารถรักษาโรคมะเร็งได้ ซึ่งต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง กระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19 มะนาวถูกยกมาเป็นยาวิเศษอีกครั้งหนึ่ง โดยช่วงเดือน มี.ค. 2563 มีการแชร์ข้อมูลว่าน้ำมะนาวสามารถฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่ง นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อดีตอธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายผ่านสื่อมวลชน เมื่อ 28 มี.ค. 2563 ว่า มะนาวมีวิตามินซีสูง ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน เชื้อโรคไม่สามารถฝังเข้าไปในเซลล์ของทางเดินหายใจและปอดได้ง่ายเท่านั้น แต่ไม่สามารถฆ่าไวรัสได้
ในช่วงไล่เลี่ยกันยังมีการแชร์ข้อมูลน้ำมะนาวผสมโซดา (อีกแล้ว) แต่คราวนี้ผสมน้ำส้มสายชูไปด้วยโดยอ้างว่าสูตรนี้ฆ่าไวรัสโควิด-19 ได้แน่นอน เพราะจะไปทำลายไวรัสที่พบในลำคอ ซึ่งทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ออกมาเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อ เพราะข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มารับรอง
3. เลือดเป็นด่างมีโอกาสติดไวรัสโควิด-19 ได้น้อยลง : เป็นอีกเรื่องที่แชร์กันมากตั้งแต่ช่วงที่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาดใหม่ๆ และมักถูกนำไปโยงกับความเชื่อทางศาสนา ที่อ้างว่าบุคคลใดกินเจไม่แตะต้องเนื้อสัตว์ ไวรัสโควิด-19 จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้ หรือถึงได้ก็มีอาการไม่รุนแรง เพราะอาหารเจทำให้เลือดเป็นด่าง (วัดจากค่า pH ซึ่งมีระดับตั้งแต่ 1-14 โดย 1 หมายถึงเป็นกรดรุนแรงที่สุด และ 14 หมายถึงเป็นด่างรุนแรงที่สุด) โดยอ้างชื่อแพทย์บางท่านที่หันไปทำงานด้านส่งเสริมการกินเจ
เรื่องนี้ถูกตรวจสอบและถูกนำกลับมาแชร์ต่อวนไป-มาครั้งเล่าครั้งเล่า ไล่ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน มี.ค.-กลางเดือน เม.ย. 2563 มีทั้งผู้เชียวชาญที่ชี้แจงว่า ค่า pH ของเลือดมนุษย์โดยทั่วไปไม่ว่าจะกินเจ กินมังสวิรัติ หรือกินเนื้อสัตว์ จะอยู่ที่ 7.35-7.45 และเป็นค่าที่ค่อนข้างคงที่ด้วยเพราะร่างกายมีกลไกปรับสมดุลอยู่ เช่นเดียวกับ พ.ต.ต.นพ.ธนิต จิรนันท์ธวัช อายุรแพทย์ และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ที่อธิบายผ่านสื่อมวลชน ยืนยันอีกเสียงเรื่องค่า pH ของเลือดมนุษย์ที่จะอยู่ที่ 7.35-7.45 และการบริโภคผักและผลไม้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนค่านี้ได้ ส่วนที่บอกว่าด่างฆ่าเชื้อไวรัสได้นั้นเป็นปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีฤทธิ์เป็นด่างรุนแรงเช็ดถูสิ่งของต่างๆ เป็นต้น
กรณีชวนเชื่อเรื่องสุขภาพที่ระบุถึงวิธีฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ด้วยการกินผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง ทางกรมควบคุมโรค ได้ชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า ข้อความดังกล่าวเป็นข้อมูลเกินจริงและไม่ถูกต้อง ถูกนำมาส่งต่อซ้ำๆ โดยขณะนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่ยืนยันว่าการรับประทานผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง มีผลในการช่วยฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้
4. พัสดุไปรษณีย์เป็นแหล่งแพร่เชื้อโควิด-19 : เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ชี้แจงผ่านเว็บไซต์ของบริษัท กรณีมีการส่งข้อความผ่านสื่อออนไลน์ ระบุว่า สำนักงานไปรษณีย์แจ้งเตือนเมื่อได้รับจดหมายหรือพัสดุให้แยกไว้ก่อน 24 ชั่วโมง หรือฉีดพ่นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนนำเข้าบ้าน เพราะมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากพัสดุไปรษณีย์แล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง พร้อมกับย้ำว่า บ.ไปรษณีย์ไทย มีมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งการทำความสะอาดรถขนพัสดุ ไปรษณียภัณฑ์ ตลอดจนสำนักงานที่มีประชาชนมาใช้บริการ เป็นต้น
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ข่าวลือเรื่องมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากจดหมายหรือพัสดุไปรษณีย์และให้ระมัดระวังการรับจดหมายหรือพัสดุที่มาส่ง เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในช่วงที่มีสถานการณ์ระบาดรอบแรก ย้อนไปเมื่อ 8 เม.ย. 2563 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เคยแจ้งเตือนเรื่องนี้ไปแล้วหนหนึ่ง ที่น่าสนใจคือข่าวปลอมทั้ง 2 ครั้ง ข้อความที่แชร์ยังเหมือนกันทุกถ้อยคำ ทั้งที่ระยะเวลาห่างกันถึง 9 เดือน
5. ยืนตากแดดฆ่าเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ : เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2563 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ แจ้งเตือนโดยอ้างข้อความที่แชร์บนโลกออนไลน์ เสนอให้รณรงค์ชักชวนผู้คนมายืนตากแดดออกกำลังกายยามเช้าเพื่อให้แสงแดดฆ่าเชื้อโรค เพราะเชื้อโรคชอบความเย็น ซึ่งเวลานั้น กรมควบคุมโรค ก็ฝากเตือนมาว่า เชื้อไวรัสตระกูลโคโรนา (ซึ่งไวรัสโควิด-19 ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า SARS-CoV-2 ก็เป็นเชื้อตระกูลนี้) สามารถทนทานต่อความร้อนได้ถึง 90 องศาเซลเซียส แต่ความร้อนของแสงแดดนั้นไม่ถึงระดับดังกล่าว
อีกเกือบ 9 เดือนต่อมา..วันที่ 13 ธ.ค. 2563 หรือเพียงไม่กี่วันก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่ จ.สมุทรสาคร ทางกรมควบคุมโรค ได้ฝากผ่านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ให้แจ้งเตือนประชาชนอีกครั้ง กรณีมีการแชร์ข้อความผ่านสื่อออนไลน์ ระบุว่า การยืนตากแดด 20 นาทีหรือนานกว่านั้น สามารถฆ่าเชื้อโควิด-19 ในร่างกายได้ (แถมครั้งนี้อ้างว่าเป็นข้อมูลจากพยาบาลในประเทศอังกฤษอีกต่างหาก) เรื่องดังกล่าวยังไม่เคยมีผลวิจัยใดๆ ทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน ที่สำคัญคือเชื้อไวรัสตระกูลโคโรนาทนความร้อนได้ถึง 90 องศาเซลเซียส แสงแดดที่มนุษย์ได้รับนั้นไม่ร้อนถึงระดับดังกล่าวแน่นอน ทั้งนี้การป้องกันตัวเองด้วยวิธีสวมหน้ากากอนามัย กินร้อน ช้อนตัวเอง ล้างมือบ่อยๆ คงดีที่สุดแล้วแม้ว่าต่อไปจะมีวัคซีนก็ตาม
นางสาวสุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างทั้ง 5 เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของข่าวลือข่าวลวงที่เป็นปรากฎการณ์โรคระบาดข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะมีการพิสูจน์กันไปแล้วว่าไม่เป็นความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็ถูกนำกลับมาแชร์กันบนโลกออนไลน์อีกครั้ง ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมข่าวลวงอีกเป็นจำนวนมากทั้งที่เกี่ยวกับประเด็นสุขภาพและประเด็นอื่นๆ
สำหรับประเทศไทย นอกจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐ ทำหน้าที่ตรวสอบจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหรือสื่อมวลชนอย่างศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แล้ว ยังมีแพลตฟอร์ม “โคแฟค” CoFact (Collaborative Fact Checking) ที่ดำเนินการโดยภาคีภาคประชาสังคมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนร่วมเป็นผู้ตรวจสอบข่าวหรือ Fact checkers ด้วยอีกทาง
"โคแฟคเป็นการใช้เทคโนโลยีภาคพลเมือง (Civic Tech) เชื่อมกับงานเชิงข่าวด้านวารสารศาสตร์ (Journalism) โดยมีกองบรรณาธิการร่วมกับอาสาสมัครคัดกรองข่าว นอกจากเว็บไซต์หลักแล้ว ยังมี Line Chatbot ( @cofact) หรือโปรแกรมการพูดคุยอัตโนมัติที่เปิดให้ทุกคนส่งข่าวให้ทีมงานกลั่นกรองได้ ผ่านช่องทางหลักคือเว็บไซต์ “cofact.org” ทำหน้าที่เป็นคลังข้อมูลเก็บข่าวที่เคยมีการแชร์และได้รับการตรวจสอบแล้ว (ทั้งเป็นข่าวจริง ข่าวปลอม และยังไม่ได้ข้อสรุป) รวมถึงมีเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” สำหรับแจ้งข่าวที่ได้รับการตรวจสอบแล้วในแต่ละวัน
ภาคีโคแฟค ประเทศไทยเชื่อว่า เพื่อหยุดยั้งการระบาดของไวรัสข้อมูลข่าวสารลวง นอกจากการต้องตรวจสอบแหล่งที่มาให้แน่ใจก่อนส่งต่อแล้ว พลเมืองผู้ใช้สื่อออนไลน์ทุกคนจะต้องช่วยกันสกัดกั้นการระบาดด้วยการตรวจสอบและช่วยโต้แย้งแก้ไขเมื่อเห็นการแชร์ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในกลุ่มต่างๆ ด้วย ดีกว่าการปล่อยผ่านไป เพราะบางครั้งความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่ผลกระทบด้านลบทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นได้" สุภิญญากล่าว
10 มกราคม 2564
E-mail: cofactcoform@gmail.com
Line: @Cofact
Twitter: @CoFactCoForm
Facebook: Cofact โคแฟค
#โควิด19